คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1271/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีในฐานะผู้จัดการมรดก การฟ้องคดีจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวจะมอบให้บุคคลอื่นทำการแทนไม่ได้ ปรากฏว่าความข้อนี้จำเลยทั้งเจ็ดมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงไม่มีประเด็นในปัญหาดังกล่าวและเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แม้จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)ประกอบมาตรา 246 และ 247

ย่อยาว

โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสุวรรณ แจ้งอักษร ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยทั้งเจ็ดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งเจ็ดออกไป และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเดิม
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ให้การว่า จำเลยทั้งหกครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โดยนายสุวรรณไม่เคยโต้แย้งคัดค้านเป็นเวลาเกิน ๑ ปี แล้วคดีโจทก์จึงขาดอายุความ
จำเลยที่ ๗ ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๗ เข้าครอบครองที่ดินพิพาทเกิน ๑ ปี แล้วตั้งแต่นายสวุรรรณยังมีชีวิตอยู่ โจทก์ไม่เคยโต้แย้ง เดิมบิดาจำเลยที่ ๗ เคยแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาทก่อนและยกให้จำเลยที่ ๗ จำเลยที่ ๗ ครอบครองสืบต่อมา ๓๐ ปี แล้วขอให้ห้ามโจทก์และบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๗ เข้าครอบครองที่ดินพิพาทนับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง ๑ ปี ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๗
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๗ ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งเจ็ดและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยทั้งเจ็ดรื้อถอนสิ่งลูกสร้างของจำเลยทั้งเจ็ดออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้วส่งมอบที่ดินคืนให้โจทก์ในสภาพเดิม คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๗
จำเลยทั้งเจ็ดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในข้อที่จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องคดีในฐานะเป็นผู้จัดการมรดก การฟ้องคดีจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ผู้จัดการมรดกต้องทำการด้วยตนเองจะมอบให้บุคคลอื่นทำการแทนไม่ได้ อีกทั้งโจทก์ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก การมอบอำนาจดังกล่าวจึงเป็นไปในฐานะส่วนตัวนั้น เห็นว่า ความข้อนี้จำเลยทั้งเจ็ดมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงไม่มีประเด็นในปัญหาดังกล่าวและเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แม้จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖ และ ๒๔๗คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งเจ็ดเพียงว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามฟ้องหรือไม่ และโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่เท่านั้น
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท
ปัญหาว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้องคดีภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่นั้น ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ นางสาวสุจิตรา และนายวิโรจน์ผู้ได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้ดูแลที่ดินพิพาทว่า จำเลยเข้าแผ้วถางตัดฟันต้นไม้ในที่ดินพิพาทในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๐ โจทก์ฟ้องคดีในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ ยังไม่เกิน ๑ ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงเป็นการใช้สิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองในที่ดินพิพาทภายในระยะเวลาที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ ได้บัญญัติไว้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share