คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7039/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆ ที่จะต้องถูกเพิกถอนตามพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ต้องเป็นการโอนหรือการกระทำในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังนั้นให้แก่เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่แล้วก่อนการโอนหรือการกระทำ และการโอนหรือการกระทำนั้นทำให้เจ้าหนี้อื่น ๆ ของลูกหนี้เสียเปรียบ
การทำสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและการจดทะเบียนจำนอง ตลอดจนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์จำนองระหว่างผู้ขายและลูกหนี้ได้กระทำในวันเดียวกันและต่อเนื่องกัน และยังปรากฏว่า ผู้คัดค้านจ่ายเงินกู้ยืมให้แก่ลูกหนี้หลังจากจดทะเบียนจำนองแล้วกรณีจึงถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้อยู่แล้วก่อนจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้าง นอกจากนั้นลูกหนี้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทราคา2,250,000 บาท และจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. สร้างอาคารในที่ดินพิพาทอีกเป็นเงิน 1,700,000 บาท รวมราคาที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน3,950,000 บาท ลูกหนี้ยืมเงินจากผู้คัดค้านเพื่อนำมาชำระค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ยังค้างชำระอยู่เพียง 2,000,000 บาท และทำสัญญาจำนองที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ที่กู้ยืมมา เห็นได้ว่า ราคาที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างมีจำนวนสูงกว่าหนี้จำนองมาก การที่ลูกหนี้กู้ยืมเงินจากผู้คัดค้านมาชำระค่าที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างทำให้ลูกหนี้มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ย่อมเป็นผลดีแก่เจ้าหนี้อื่นของลูกหนี้จึงไม่มีกรณีที่ผู้คัดค้านจะได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องย่อมไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านตามพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 6/2542)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๕ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้ล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๗ และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๘ขณะนี้ยังไม่พ้นภาวะล้มละลาย
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๘๕๘๖ เนื้อที่ ๒๖ ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ต่อมาวันที่ ๓๐เมษายน ๒๕๓๖ จำเลยที่ ๒ ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินไว้แก่ผู้คัดค้าน การที่จำเลยที่ ๒ จดทะเบียนจำนองภายหลังจากถูกโจทก์ฟ้องล้มละลายโดยรู้ถึงภาวะการมีหนี้สินล้นพ้นตัวของตนเองเป็นอย่างดีแล้วถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ กระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๘๕๘๖ พร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ ๒ กับผู้คัดค้านตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา๑๑๕ โดยให้ผู้คัดค้านไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน หากผู้คัดค้านไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนและถ้าไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมให้ผู้คัดค้านใช้ราคาเป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการจำนองเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านกระทำโดยสุจริตไม่ทราบว่าจำเลยที่ ๒ อยู่ในภาวะเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่ทราบเรื่องที่จำเลยที่ ๒ ถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย ผู้คัดค้านต้องจ่ายเงินให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อให้จำเลยที่ ๒ มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ทั้งเป็นการจ่ายหลังจากจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่ผู้คัดค้านเรียบร้อยแล้ว การกระทำของผู้คัดค้านเป็นการช่วยเหลือให้จำเลยที่ ๒ มีทรัพย์สินขึ้นโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน มิได้มุ่งหมายให้ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นทั้งการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาททำภายหลังที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ ให้ล้มละลายเกิน ๓ เดือน แล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๘๕๘๖ระหว่างจำเลยที่ ๒ ผู้จำนองกับผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับจำนอง ตามมาตรา ๑๑๕ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ ให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมโดยให้ผู้คัดค้านไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน หากไม่ไปให้ถือเอาคำสั่งของศาลเป็นการแสดงเจตนา หากไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ให้ผู้คัดค้านชดใช้ราคาที่ดินเป็นเงินจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนที่ดินจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๕ ต่อมาวันที่ ๓๐เมษายน ๒๕๓๖ จำเลยที่ ๒ ทำสัญญากู้ยืมเงินผู้คัดค้าน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อนำไปชำระค่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๘๕๘๖ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้ตามเอกสารหมาย ค.๗ และค่าสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าว โดยจำเลยที่ ๒ ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ในวันเดียวกันกับที่ทำสัญญากู้ยืมเงิน ผู้คัดค้านมอบเงินกู้ยืมให้แก่จำเลยที่ ๒ หลังจากจดทะเบียนจำนองเรียบร้อยแล้ว และจำเลยที่ ๒ นำเงินกู้ยืมที่ได้รับมาทั้งหมดชำระค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับโอนมา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๗ และพิพากษาให้ล้มละลายวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๘
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องจะขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ ๒ กับผู้คัดค้าน ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๕ ได้หรือไม่ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆ ที่จะต้องถูกเพิกถอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๕ ต้องเป็นการโอนหรือการกระทำในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังนั้นให้แก่เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใด ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่แล้วก่อนการโอนหรือการกระทำ และการโอนหรือการกระทำนั้นทำให้เจ้าหนี้อื่น ๆ ของลูกหนี้เสียเปรียบ สำหรับคดีนี้ปรากฏว่า การทำสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและการจดทะเบียนจำนองตามเอกสารหมาย ค.๑ ถึง ค.๓ ตลอดจนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์จำนองระหว่างผู้ขายและจำเลยที่ ๒ ได้กระทำในวันเดียวกันและต่อเนื่องกัน คือในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๖ และยังปรากฏว่าผู้คัดค้านจ่ายเงินกู้ยืมให้แก่จำเลยที่ ๒ หลังจากจดทะเบียนจำนองแล้ว กรณีนี้จึงถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๒ อยู่แล้วก่อนจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้าง นอกจากนั้นยังได้ความว่าจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทราคา ๒,๒๕๐,๐๐๐ บาท และจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. ทวีชัยสหกิจ การสร้างอาคารในที่ดินพิพาทอีกเป็นเงิน ๑,๗๐๐,๐๐๐ บาท รวมราคาที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน ๓,๙๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ กู้ยืมเงินจากผู้คัดค้านเพื่อนำมาชำระค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ยังค้างชำระอยู่เพียง ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และทำสัญญาจำนองที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ที่กู้ยืมมา เห็นได้ว่า ราคาที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างมีจำนวนสูงกว่าหนี้จำนองมาก การที่จำเลยที่ ๒ กู้ยืมเงินจากผู้คัดค้านมาชำระค่าที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้าง ทำให้จำเลยที่ ๒ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นย่อมเป็นผลดีแก่เจ้าหนี้อื่นของจำเลยที่ ๒ จึงไม่มีกรณีที่ผู้คัดค้านจะได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นผู้ร้องไม่อาจจะร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองระหว่างจำเลยที่ ๒ กับผู้คัดค้านตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๕ ได้
พิพากษายืน.

Share