แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ศ. 2499 มาตรา 42
โจทก์กับ ภ. ฝ่ายหนึ่งกับจำเลยทั้งสองอีกฝ่ายหนึ่งเข้าหุ้นกันทำธุรกิจส่งผักสดให้แก่บริษัท ก. จำกัด (มหาชน) ในนามบริษัท พ. มีระยะเวลาตั้งแต่กลางเดือนมกราคม 2538 ถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2538 เมื่อครบกำหนดสัญญาได้ชวน ต. เข้าร่วมหุ้นอีกฝ่ายหนึ่งทำธุรกิจนี้ต่อไป โดยลงทุนเป็นเงินจำนวนฝ่ายละ 1,000,000 บาท แล้วจดทะเบียนเพิ่มทุนและเปลี่ยนแปลงกรรมการให้โจทก์กับจำเลยทั้งสอง และ ต. เป็นกรรมการของบริษัทผู้มีอำนาจกระทำการในนามบริษัท คือจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท หรือจำเลยที่ 2 กับ ต. ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท จำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่รับจ่ายและเก็บรักษาเงิน จำเลยที่ 2 มีหน้าที่จัดทำบัญชีและเอกสารอื่น ๆ บริษัท พ. ประมูลส่งผักสดให้บริษัท ก. จำกัด (มหาชน) ครั้งต่อไปได้ มีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2538 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2538 จำเลยทั้งสองร่วมกันทำสัญญากู้เงินและสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารในนามบริษัท พ. โดยยอมให้หักชำระหนี้จากบัญชีเงินฝากของบริษัท พ. ที่เปิดไว้ที่ธนาคารดังกล่าวมีการรับเงินที่กู้กับเบิกเงินเกินบัญชีไป และธนาคารหักชำระหนี้จากบัญชีเงินฝากแล้ว ต่อมาวันที่ 19 มีนาคม 2539 จำเลยทั้งสองร่วมกันทำรายงานสรุปยอดเอกสารฉบับพิพาทโดยไม่ได้ลงรายการกู้เงินและเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวไว้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองทำรายงานสรุปยอดเอกสารฉบับพิพาทเพื่อแสดงรายรับรายจ่ายให้ทราบผลกำไรขาดทุนต่อฝ่ายโจทก์กับฝ่าย ต. เท่านั้น มิใช่เพื่อให้เป็นหลักฐานทางบัญชีหรืองบดุลของบริษัท จึงไม่จำเป็นต้องลงรายการกู้เงินและเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งเป็นแหล่งที่มาของการนำเงินมาเป็นรายจ่ายด้วย รายการดังกล่าวมิใช่ข้อความสำคัญในเอกสารรายการสรุปยอดเอกสารฉบับพิพาทของบริษัท แม้จำเลยทั้งสองจะมิได้ลงไว้ ก็ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 และ ป.อ. มาตรา 83
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔๒ และ ป.อ. มาตรา ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อต้นปี ๒๕๓๘ โจทก์กับนายภูษิต ภานุภาพ ฝ่ายหนึ่งกับจำเลยทั้งสองอีกฝ่ายหนึ่งเข้าหุ้นกันทำธุรกิจส่งผักสดให้แก่บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ในนามบริษัทพฤศจิกา จำกัด มีระยะเวลาตั้งแต่กลางเดือนมกราคม ๒๕๓๘ ถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ เมื่อครบกำหนดสัญญาได้ชวนนายตรีกูล โสภณศิริ เข้าร่วมหุ้นอีกฝ่ายหนึ่งทำธุรกิจนี้ต่อไป โดยลงทุนเป็นเงินจำนวนฝ่ายละ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แล้วจดทะเบียนเพิ่มทุนและเปลี่ยนแปลงกรรมการให้โจทก์กับจำเลยทั้งสองและนายตรีกูลเป็นกรรมการของบริษัทผู้มีอำนาจกระทำการในนามบริษัท คือจำเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท หรือจำเลยที่ ๒ กับนายตรีกูลลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่รับจ่ายและเก็บรักษาเงิน จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่จัดทำบัญชีและเอกสารอื่น ๆ บริษัทพฤศจิกา จำกัด ประมูลส่งผักสดให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งต่อไปได้ มีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๓๘ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ ตามสัญญาซื้อขายอาหารและวัตถุดิบภายในประเทศเอกสารหมาย จ. ๕ จำเลยทั้งสองร่วมกันทำสัญญากู้เงินและสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาอินทรารักษ์ ในนามบริษัทพฤศจิกา จำกัด ๔ ครั้ง คือ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๓๘ ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๓๘ ทำสัญญากู้เงินจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๘ ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท และวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๓๘ ทำสัญญากู้เงินจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยยอมให้หักชำระหนี้จากบัญชีเงินฝากของบริษัทพฤศจิกา จำกัด ที่เปิดไว้ที่ธนาคารดังกล่าว มีการรับเงินที่กู้กับเบิกเงินเกินบัญชีไป และธนาคารหักชำระหนี้จากบัญชีเงินฝากแล้ว ต่อมาวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๓๙ จำเลยทั้งสองร่วมกันทำรายงานสรุปยอดเอกสารหมาย จ. ๘ โดยไม่ได้ลงรายการกู้เงินและเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวไว้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า รายงานสรุปยอดเอกสารหมาย จ. ๘ เป็นหลักฐานทางบัญชีของบริษัทเสมือนเป็นงบดุล มิใช่หลักฐานที่ทำขึ้นเพื่อให้ผู้ถือหุ้นทราบถึงค่าใช้จ่ายและผลกำไรขาดทุน จึงต้องลงรายการกู้เงินและเบิกเงินเกินบัญชีด้วยนั้น เห็นว่า นายภูษิต ภานุภาพ พยานโจทก์เองเบิกความว่า เมื่อสิ้นระยะการดำเนินกิจการตามสัญญาแล้ว ยังไม่มีการแบ่งผลกำไรกัน พยานกับนายตรีกูลแจ้งให้ฝ่ายจำเลยส่งบัญชีกำไรขาดทุน จำเลยทั้งสองจึงทำรายงานสรุปยอดเอกสารหมาย จ. ๘ ซึ่งเจือสมกับทางนำสืบของจำเลยทั้งสองที่มีนายตรีกูล โสภณศิริ เบิกความสนับสนุนว่าจำเลยทั้งสองทำรายงานสรุปยอดเอกสารหมาย จ. ๘ เพื่อทราบผลกำไรขาดทุนของการดำเนินกิจการตามสัญญาเท่านั้น ที่โจทก์ฎีกาว่า นายตรีกูลเบิกความช่วยเหลือจำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่า นายตรีกูลเบิกความสอดคล้องกับพยานเอกสาร ไม่มีพิรุธว่าจะช่วยเหลือจำเลยทั้งสอง ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยทั้งสองทำรายงานสรุปยอดเอกสารหมาย จ. ๘ เพื่อแสดงรายรับรายจ่ายให้ทราบผลกำไรขาดทุนต่อฝ่ายโจทก์กับฝ่ายนายตรีกูลเท่านั้น มิใช่เพื่อให้เป็นหลักฐานทางบัญชีหรืองบดุลของบริษัท จึงไม่จำเป็นต้องลงรายการกู้เงินและเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งเป็นแหล่งที่มาของการนำเงินมาเป็นรายจ่ายด้วย รายการดังกล่าวมิใช่ข้อความสำคัญในเอกสารรายการสรุปยอดเอกสารหมาย จ. ๘ ของบริษัท แม้จำเลยทั้งสองจะมิได้ลงไว้ ก็ไม่มีความผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน.