คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3241/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญากู้ระบุว่าหากผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระหนี้เงินกู้ตามที่กำหนดไว้ไม่ว่างวดหนึ่งงวดใด ยินยอมให้ผู้ให้กู้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กำหนด (สูงกว่าร้อยละ 9.5) เมื่อใดก็ได้แต่ไม่เกินอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้ สัญญากู้เงิน ฉบับพิพาท ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้แน่นอนแล้วจำนวนหนึ่ง มีระยะเวลาที่แน่นอนชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ยังให้สิทธิ ผู้ให้กู้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นได้ใหม่เมื่อใดก็ได้เมื่อผู้กู้ผิดนัดเช่นนี้ มีลักษณะเป็นค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนความเสียหายซึ่งคู่สัญญากำหนดกันไว้ล่วงหน้า เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้อง สมควร เป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 379

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้ยืมจำนวน ๕๕๑,๒๖๗.๖๙ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี จากต้นเงิน ๔๖๕,๔๕๖.๗๒ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ ในส่วนที่ขาดให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
ศาลชั้นต้นถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและมีคำสั่งให้จำเลยขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๔๘๙,๐๑๖.๔๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงิน ๔๖๕,๔๕๖.๗๒ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๑ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๖๓๔๒ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้ หากได้เงินจำนวนสุทธิไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ตามทางนำสืบของโจทก์ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๔๙๖ เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๓๗ จำเลยทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์ ๔๙๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๙.๕ ต่อปี และยอมให้โจทก์ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยได้ตามประกาศของโจทก์ภายใต้หลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตามประกาศกระทรวงการคลังเอกสารหมาย จ.๑๕ กำหนดชำระหนี้คืนให้เสร็จสิ้นภายใน ๒๕ ปี รายละเอียดปรากฏตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.๗ เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้จำเลยได้จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้เป็นเงิน ๔๙๐,๐๐๐ บาท ปรากฏตามสัญญาจำนองและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.๘ จ.๙ หลังจากกู้เงินไปแล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญา โดยชำระเงิน ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ เป็นเงิน ๔,๓๐๐ บาท ปรากฏตามรายการเคลื่อนไหวเงินกู้เอกสารหมาย จ.๑๑ โจทก์ได้บอกกล่าวบังคับจำนองแล้วแต่จำเลยเพิกเฉยคิดเพียงวันฟ้องจำเลยเป็นหนี้ต้นเงินโจทก์ ๔๖๕,๔๕๖.๗๒ บาท ดอกเบี้ยอีก ๘๕,๘๑๐.๙๗ บาท รวมเป็นหนี้ที่ค้างชำระเงินทั้งสิ้น ๕๕๑,๒๖๗.๖๙ บาท
มีปัญหาวินิจฉัยมาสู่ศาลฎีกาของโจทก์ว่าดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปีที่โจทก์เรียกเอาจากจำเลยตามสัญญากู้เป็นเบี้ยปรับหรือไม่ เห็นว่าตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.๗ ที่โจทก์ทำกับจำเลยนั้น ทำในวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๓๗ ความในสัญญา ข้อ ๑ ระบุว่า “ผู้กู้ยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้เป็นรายเดือนสำหรับเงินกู้ตามสัญญานี้ใน อัตราร้อยละ ๙.๕ ต่อปี โดยมีระยะเวลา ๕ ปี นับแต่วันทำสัญญากู้ ส่วนระยะเวลากู้ที่เหลือผู้กู้ยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ ผู้ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยใหม่ตามประกาศธนาคาร ซึ่งผู้ให้กู้อาจเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นหรือต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ข้างต้นนี้โดยผู้ให้กู้ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ผู้กู้ทราบล่วงหน้าทั้งนี้ให้ถือเอาปฏิบัติเช่นนี้ตลอดไปจนกว่าผู้กู้จะชำรำะหนี้ตามสัญญานี้ให้แก่ผู้ให้กู้ครบถ้วนแล้ว” ความในสัญญาดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่โจทก์ ในอัตราร้อยละ ๙.๕ ต่อปีนับแต่วันที่ทำสัญญากู้จนถึงวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๒ พ้นจากวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๒ ไปแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นกว่าที่กำหนดไว้ได้ แม้ในสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.๘ จะระบุว่าจำเลยจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันโดยให้ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๙ ต่อปีก็ตาม หนี้ตามสัญญาจำนองก็เป็นหนี้อุปกรณ์ของหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประมาณ เมื่อใดจำเลยจะต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราใด ต้องดูข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินซึ่งเป็นหนี้ประธานเป็นหลัก มิใช่ว่าจำเลยจะต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยตามสัญญาจำนองให้แก่โจทก์ อัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี นับแต่วันทำสัญญาจำนองเสมอไปแต่อย่างใด ได้ความว่าโจทก์ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รวม ๔ ครั้ง รายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.๑๐ ศาลฎีกาตรวจดูแล้ว ครั้งที่ ๑ ปรับเปลี่ยนเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๐ จากร้อยละ ๙.๕ เป็นร้อยละ ๑๒ และครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๑ ปรับเปลี่ยนจากร้อยละ ๑๑.๕ เป็นร้อยละ ๑๙ การปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยของโจทก์ทุกครั้งยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลา ๕ ปี ที่กำหนดให้จำเลยมีหน้าที่ต้องเสีย ดอกเบี้ยตามสัญญากู้ในอัตราร้อยละ ๙.๕ แสดงว่าโจทก์ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้โดยอาศัยเหตุที่จำเลยผิดนัด ตามความในสัญญากู้ข้อ ๓ ที่ระบุว่าหากผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระหนี้เงินกู้ตามที่กำหนดไว้ไม่ว่างงวดหนึ่งงวดใด ยินยอมให้ผู้ให้กู้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กำหนด (สูงกว่าร้อยละ ๙.๕) เมื่อใดก็ได้แต่ไม่เกินอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้ สัญญา กู้เงินเอกสารหมาย จ.๗ ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้แน่นอนแล้วจำนวนหนึ่ง มีระยะเวลาที่แน่นอนชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ยังให้สิทธิผู้ให้กู้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นได้ใหม่ก็ได้เมื่อผู้กู้ผิดนัดเช่นนี้มีลักษณะเป็นค่าสินไหมทดแทนความเสียหายซึ่งคู่สัญญากำหนดกันไว้ล่วงหน้าเมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควร เป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๙ เมื่อศาลเห็นว่าสูงเกินส่วนย่อมมีอำนาจลดลงได้ ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า แม้ศาลจะฟังเป็นเบี้ยปรับก็ไม่ถือว่าสูงเกินส่วนนั้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงมิใช่อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้ว
พิพากษายืน .

Share