คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 348/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในสัญญาประนีประนอม ซึ่งตกลงแบ่งทรัพย์กันรวม 3 สิ่งอีก 2 สิ่งได้ระบุไว้ชัดว่าให้แบ่งคนละครึ่ง ส่วนอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ดิน เพียงแต่กล่างว่าให้ทั้ง 2 ฝ่ายจัดการแบ่งกันเอง ดังนี้เมื่อไม่ปรากฏว่าให้แบ่งส่วนต่างออกไป ต้องตีความว่าให้แบ่งที่ดินนั้นคนละครึ่งด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จำเลยตกลงหย่าขาดจากกันและตกลงแบ่งทรัพย์กันตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งทำที่อำเภอ เฉพาะที่ดินโฉนดที่ ๕๕๕๕ โจทก์ขอให้แบ่งคนละครึ่ง จำเลยให้การรับในข้อหย่า ต่อสู้ว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์จำเลยแบ่งที่ดินกันเอง ที่ดินนี้เป็นสินดิมของจำเลย ๆ ลงชื่อโจทก์ในโฉนดเมื่อได้โจทก์เป็นภริยาแล้ว แล้วต่อมากลับให้การว่า ที่ดินเป็นสินสมรสต้องแบ่งให้โจทก์ ๑ ส่วน ให้จำเลย ๒ ส่วนโจทก์ไม่สืบพยาน ข้อความในสัญญาประนีประนอมมีว่า โจทก์จำเลยตกลงหย่ากัน ทรัพย์สมบัติที่มีในระหว่างอยู่กินด้วยกัน
๑. ที่นาตำบลราชนิยม ฯลฯ มีกรรมสิทธิ์ด้วยกัน
๒. เรือน ๑ หลัง
๓. กระบือก
สิ่งของหมายเลข ๒ และ ๓ ทั้งสองฝ่ายตกลงให้คิดเป็นราคาเงิน ๑๒๐ บาท แบ่งกันคนละ ๖๐ บาท ส่วนที่นาซึ่งมีกรรมสิทธิ์ด้วยกันจะแบ่งกันเอง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่ดินเป็นสินเดิมเมื่อหย่าต้องคืนให้จำเลย แต่จำเลยยอมแบ่งให้โจทก์ ๑ ใน ๓ จึงให้แบ่งให้โจทก์ ๑ ใน ๓
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ดินจะเป็นสินเดิมหรืออะไรไม่ต้องวินิจฉัย ต้องแบ่งโดยตีความจากสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งเห็นว่าต้องหมายถึงแบ่งกึ่ง พิพากษาแก้ให้แบ่งกึ่ง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความหายถึงว่าให้แบ่งกึ่ง เพราะทรัพย์หมาย ๒ และหมาย ๓ ให้แบ่งกึ่งสำหรับทีดินก็ไม่ปรากฏว่าให้แบ่งส่วนต่างออกไป จึงต้องตีความให้แบ่งกึ่ง
พิพากษายืน

Share