คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินของสามีโจทก์ไป ปรากฎตามสำเนาหนังสือสัญญากู้ท้ายฟ้อง จำเลยให้การรับว่าได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินไปตามฟ้องจริง แล้วโจทก์มิได้อ้างหนังสือสัญญากู้มาเป็นพยานหลักฐานในคดี (เพราะศาลงดสืบพยานโจทก์จำเลย) ต่อมาจำเลยเพิ่งมากล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกาว่า หนังสือสัญญากู้นี้ปิดอากรแสตมป์ขาดไป จะใช้เป็นหลักฐานฟ้องจำเลยไม่ได้ ดังนี้ ย่อมฟังไม่ขึ้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินสามีโจทก์ไปตามสำเนาหนังสือสัญญากู้ท้ายฟ้อง ขอให้จำเลยใช้เงินต้นและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยกู้เงินสามีโจทก์ตามสัญญากู้ท้ายฟ้องจริง ต่อมาสามีโจทก์ตาย บุตรโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกกองมรดกของสามีโจทก์ถูกทางราชการยึดเพื่อขายทอดตลาด บุตรโจทก์จึงขอให้จำเลยทำสัญญากู้ใหม่ โดยเปลี่ยนเป็นบุตรโจทก์เป็นผู้ให้กู้เพื่อปิดบังเอาหนี้เงินกู้รายนี้ไว้เป็นประโยชน์ของตน จำเลยได้ขอสัญญากู้ท้ายฟ้องคืน แต่บุตรโจทก์อ้างว่า นำไปมอบไว้ที่ทนายความ และจำเลยก็ถูกฟ้องให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ที่มีชื่อบุตรโจทก์เป็นผู้ให้กู้แล้ว และจำเลยก็ได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ท้ายฟ้องหมดแล้วด้วย ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า ตามที่จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้กับบุตรโจทก์ใหม่นั้น เป็นการแปลงหนี้ใหม่และเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับตามกฎหมายให้จำเลยใช้เงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องระงับไปแล้วโจทก์นำมาฟ้องอีกไม่ได้ กับสัญญานี้ปิดแสตมป์ไม่ครบด้วย จะใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ยังไม่ระงับไป โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลยได้ ส่วนเรื่องสัญญากู้นี้ปิดแสตมป์ไม่ครบนั้น จำเลยได้ให้การรับแล้วว่าได้ทำสัญญากู้ยืมเงินสามีโจทก์จริง จึงไม่จำต้องใช้หนังสือสัญญากู้ยืมนั้น เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีนี้พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลรัษฎากรมาตรา ๑๑๘ บัญญัติไว้มีความว่า ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ แต่คดีนี้จำเลยให้การรับแล้วว่าได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินไปตามฟ้องโจทก์จริง และโจทก์มิได้อ้างหนังสือสัญญากู้มาเป็นพยานหลักฐานในคดี ฎีกาจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

Share