แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การตกลงชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนนั้นหากปรากฎว่าผู้เช่าชำระค่าเช่าเดือนสุดท้ายตามสัญญาเช่าแก่ผู้ให้เช่าแล้ว ก็ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าผู้เช่าได้ำชำระค่าเช่าในเดือนก่อน ๆ นั้นด้วยแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าบ้านเลขที่ ๕๘ ของโจทก์มีกำหนด ๑ ปี นับแต่ ๑ ธันวาคม ๒๕๐๑ ในอัตราค่าเช่าเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท และเช่าเครื่องใช้กับเครื่องตบแต่งบ้านเช่าด้วย ในอัตราค่าเช่าอีกเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท เพื่อทำเป็นสถานที่บริการนวดและอาบน้ำ จำเลยหยุดกิจการค้าแต่เดือนมิถุยายน ๒๕๐๒ คงค้างชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนมิถุนายน จนถึง เดือนสิงหาคม ๒๕๐๒ ซึ่งเป็นวัดส่งมอบทรัพย์ที่เช่าคืนให้โจทก์ เป็นเวลา ๓ เดือน เงิน ๑๕,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า เช่าจริงดังฟ้อง โจทก์รับชำระค่าเช่าจากจำเลยครบทั้งปีแล้วปรากฎตามหลักฐานใบเสร็จรับเงินงวดสุดท้าย ประจำเดือนกันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน ๒๕๐๒ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้เช่าบ้านและเครื่องใช้ของโจทก์ตั้งแต่ ๑ ธันวาคม ๒๕๐๑ จริง แต่จำเลยเปิดกิจการบริการนวดและอาบน้ำได้เพียง ๕๑ วัน ก็ต้องหยุดเพราะตำรวจสั่งปิด ส่วนปัญหาที่ว่าโจทก์ได้รับเงินค่าเช่าจากจำเลยครบ ๑ ปีหรือไม่นั้น จำเลยมีหลักฐานใบรับเงินค่าเช่าบ้านมาแสดงต่อศาล ๔ ฉบับ คือฉบับเดือนธันวาคม ฉบับเดือนมกราคม ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ และฉบับสุดท้ายสำหรับค่าเช่าเดือนกันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน ๒๕๐๒ ใบเสร็จนอกนั้นจำเลยว่าโจทก์ขอผัดไป และพอดีใบเสร็จหมด ศาลชั้นต้นจึงเห็นว่าจำเลยมีใบเสร็จรับเงินค่าเช่า ๓ เดือนสุดท้ายแห่งสัญญาเช่ามาแสดง เป็นการได้ข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้ (ค่าเช่า) ในระยะก่อน ๆ นั้นด้วย โจทก์ไม่มีพยานนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานอันเป็นคุณแก่าจำเลยได้ ฟังว่าจำเลยชำระค่าเช่าในระยะก่อน ๆ นั้นด้วย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศษลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เมื่อปรากฎว่าจำเลยได้ชำระค่าเช่าเดือนสุดท้ายตามสัญญาเช่าให้แก่โจทก์แล้ว ก็ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยได้ชำระค่าเช่าในระยะก่อน ๆ แก่โจทก์แล้วดังที่ศาลทั้งสองวินิจฉัยมา ข้อที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาว่า การที่โจทก์ออกใบรับเงินค่าเช่า ๓ เดือนสุดท้ายของสัญญาเช่าให้แก่จำเลยก็เพื่อสะดวกในการที่จะไม่ต้องไปเก็บค่าเช่าจากจำเลยอีกนั้น เป็นเหตุผลที่รับฟังไม่ได้ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน