แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ต้อง ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพนั้นเอง การรับฟังคำรับชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสี่ซึ่งปฏิเสธในชั้นพิจารณา โจทก์และโจทก์ร่วมต้องมีพยานประกอบว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดจริงโดยพยานประกอบนั้นต้องไม่ใช่คำของเจ้าพนักงานตำรวจผู้สอบสวนคำรับนั้นเอง ส่วนบันทึกการจับกุม คำให้การชั้นสอบสวนของ จำเลยทั้งสี่ บันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ และภาพถ่ายประกอบนั้นแม้มีภาพจำเลยทั้งสี่และมีข้อความว่า จำเลยที่ 4 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ก็เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพ ของจำเลยทั้งสี่ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเท่านั้นไม่ใช่พยานหลักฐานที่จะนำมารับฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสี่ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เพื่อให้เห็นว่ากระทำความผิดตามฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสี่อย่างใดอีกเมื่อจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาและนำสืบปฏิเสธว่า พนักงานสอบสวนได้คำรับสารภาพมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมเพียงเท่าที่นำสืบมาจึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86, 91, 288, 289, 340, 340 ตรี, 371พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิและขอให้จำเลยทั้งสี่คืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 118,500 บาทแก่ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 99,500 บาท แก่ทายาทโดยธรรมของผู้เสียหายที่ 2 และจำนวน 500 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 3 กับขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 3
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 3 รับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษจริงตามฟ้อง
ระหว่างพิจารณานางจำปี บัวสดหรือเอี่ยมอร่ามผู้เสียหายที่ 1 และนายทวีศักดิ์ รวยดี ผู้เสียหายที่ 3ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้เรียกผู้เสียหายที่ 1 ว่า โจทก์ร่วมที่ 1 และเรียกผู้เสียหายที่ 3 ว่าโจทก์ร่วมที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 288, 289(6), 340 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 340 ตรี, 371 จำเลยที่ 1 และที่ 2 อายุ 15 ปี และ 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75, 76 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยให้เปลี่ยนโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52 จำเลยที่ 3 และที่ 4ไม่จำต้องเอามาตรา 340 ตรี มาปรับอีก ให้วางโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านปรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 50 บาท ปรับจำเลยที่ 3 และที่ 4คนละ 100 บาท จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำเลยที่ 1และที่ 2 ให้เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นจำคุก 50 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 จำคุก จำเลยที่ 1 และที่ 2คนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานพาอาวุธปืน ปรับจำเลยที่ 1 และที่ 2คนละ 25 บาท (ที่ถูก 33.33 บาท) รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2คนละ 33 ปี 4 เดือน ปรับคนละ 25 บาท (ที่ถูก 33.33 บาท)จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้เปลี่ยนโทษประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52 เมื่อจำคุกจำเลยที่ 3และที่ 4 ตลอดชีวิตแล้วจึงไม่อาจเรียกกระทงลงโทษในข้อหาอื่นได้และจะเพิ่มโทษจำเลยที่ 3 เนื่องจากเคยต้องคำพิพากษาของศาลจังหวัดนนทบุรีมาแล้วไม่ได้ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์ 118,500 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 และเป็นเงิน 99,500 บาท แก่ทายาทของผู้เสียหายที่ 2 และเป็นเงิน500 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 3
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า ตามวันเวลาและสถานที่ที่โจทก์กล่าวในฟ้องมีคนร้ายหลายคนร่วมกันมีอาวุธปืนบุกรุกเข้าไปในบ้านของโจทก์ร่วมที่ 1 แล้วยิงนายสมนึก บัวสด ผู้ตายถึงแก่ความตายคนร้ายปล้นเอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมทั้งสองและของผู้ตายไปหลายรายการ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในข้อแรกมีว่าในคืนเกิดเหตุโจทก์ร่วมที่ 2 เห็นและจำหน้าคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้โจทก์ร่วมที่ 2 และคนร้ายที่ถืออาวุธปืนยืนอยู่หน้าห้องนอนของโจทก์ร่วมที่ 1 ได้หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่าขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมที่ 2 เห็นและจำหน้าคนร้ายคือจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ใช้อาวุธปืนจี้โจทก์ร่วมที่ 2 และเห็นจำเลยที่ 4 ถืออาวุธปืนยืนอยู่หน้าห้องนอนของโจทก์ร่วมที่ 1 โจทก์ร่วมที่ 2 เห็นจำเลยที่ 3และที่ 4 จากแสงสว่างของดวงจันทร์ โจทก์ร่วมที่ 2 รู้จักจำเลยที่ 3และที่ 4 มาก่อนเพราะเคยทำงานก่อสร้างมาด้วยกัน บิดาโจทก์ร่วมที่ 2เคยชวนจำเลยที่ 3 และที่ 4 มาดื่มสุราที่บ้าน และหลังเกิดเหตุ1 วัน โจทก์ร่วมที่ 2 ก็ยืนยันต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยที่ 3และที่ 4 เป็นคนร้าย เห็นว่า ตามคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ 2อ้างว่า เห็นและจำหน้าคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ว่าเป็นจำเลยที่ 3เพราะขณะที่คนร้ายดังกล่าวใช้อาวุธปืนจี้ศีรษะโจทก์ร่วมที่ 2 แล้วบังคับให้เดินไปที่บ้านของโจทก์ร่วมที่ 1 ระหว่างทางผ้าขาวม้าที่โจทก์ร่วมที่ 2 นุ่งอยู่เกี่ยวลูกกรงไม้จนผ้าหลุด โจทก์ร่วมที่ 2หันไปหยิบผ้าขาวม้าจึงเห็นหน้าจำเลยที่ 3 จากแสงจันทร์นานประมาณ 1 นาที คนร้ายบังคับให้โจทก์ร่วมที่ 2 เข้าไปในห้องนอนของโจทก์ร่วมที่ 1 โจทก์ร่วมที่ 2 เห็นจำเลยที่ 4ถืออาวุธปืนยืนอยู่ตรงหน้าห้องนอนของโจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งไม่ปรากฏว่าเห็นด้วยแสงอะไร และเห็นเป็นเวลานานเท่าใดโจทก์ร่วมที่ 2 อ้างว่าเห็นจำเลยที่ 3 จากแสงจันทร์ ซึ่งคืนเกิดเหตุเดือนหงายเพราะเป็นคืนหลังจากลอยกระทงเพียงวันเดียว แต่ก็ไม่ปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ 2 ว่า แสงจันทร์ในคืนเกิดเหตุสว่างมากน้อยเพียงใดและคนร้ายอยู่ห่างจากพยานแค่ไหนจึงทำให้พยานสามารถมองเห็นและจำหน้าคนร้ายได้ชัดเจน ในข้อนี้กลับปรากฏจากคำเบิกความของนางจำปี บัวสดหรือเอี่ยมอร่ามโจทก์ร่วมที่ 1 ว่า ในคืนเกิดเหตุฝนตกและมีเมฆมากเมฆฝนย่อมจะบดบังแสงจันทร์ทำให้มองเห็นไม่ได้ชัดเจนโจทก์ร่วมที่ 1 ยังจำหน้าคนร้ายไม่ได้ทั้งยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ถามค้านว่าในคืนเกิดเหตุ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาที่เกิดเหตุพยานและโจทก์ร่วมที่ 2 ไม่ได้บอกเจ้าพนักงานตำรวจว่า ใครเป็นคนร้ายตอนโจทก์ร่วมที่ 2ให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจ โจทก์ร่วมที่ 2 ให้การว่าถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้บังคับให้ก้มหน้าตลอดเวลา โจทก์ร่วมที่ 2 กลัวไม่มีโอกาสมองหน้าคนร้าย คำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ 1ดังกล่าวมีเหตุผลที่เชื่อได้ยิ่งกว่าคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ 2ที่ว่า ขณะถูกจี้พยานไม่ตกใจ หันหน้าดูคนร้ายตรง ๆ ราว 2 นาทีจำได้ว่าเป็นจำเลยที่ 3 และที่ 4 เพราะเคยทำงานด้วยกันและที่พยานเบิกความตอบทนายโจทก์ร่วมว่า ก่อนเกิดเหตุ 1 ปีบิดาของพยานทำงานก่อสร้างได้เรียกจำเลยที่ 3 และที่ 4มาบ้านเพื่อดื่มสุรากันนั้น ข้อเท็จจริงเหล่านี้ก็ไม่ปรากฏว่าพยานได้แจ้งแก่เจ้าพนักงานตำรวจที่มาในคืนเกิดเหตุแต่อย่างใดซึ่งหากโจทก์ร่วมที่ 2 รู้จักและเคยเห็นหน้าจำเลยที่ 3 และที่ 4และจำได้ว่าเป็นคนร้ายจริงก็น่าจะระบุต่อเจ้าพนักงานตำรวจเสียตั้งแต่ในคืนเกิดเหตุเพื่อเจ้าพนักงานตำรวจจะได้ตามจับคนร้ายมาดำเนินคดีได้ทันท่วงที ที่โจทก์ร่วมที่ 2 อ้างว่ายังนึกชื่อคนร้ายไม่ออกนั้นไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ 2 จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะฟังว่าจำเลยที่ 3และที่ 4 เป็นคนร้ายที่ร่วมปล้นทรัพย์โจทก์ร่วมทั้งสองและฆ่าผู้ตายในคืนเกิดเหตุ สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 5 นั้น โจทก์และโจทก์ร่วมก็ไม่มีพยานปากใดเบิกความยืนยันว่าเป็นคนร้ายที่ร่วมกระทำความผิดในคืนเกิดเหตุด้วย ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสี่รับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนโดยสมัครใจจึงรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ได้นั้นเห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมคงมีแต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสี่ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนรวมทั้งบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ตามเอกสารและภาพถ่ายหมาย จ.7 ถึง จ.11 และ จ.14 ถึง จ.16 มาแสดงแม้จะมีร้อยตำรวจเอกโสภณผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสี่กับพันตำรวจโทไพรวัลพนักงานสอบสวนมาเบิกความยืนยันว่าในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกันปล้นทรัพย์โจทก์ร่วมทั้งสองและยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตายก็ตาม ก็เป็นแต่เพียงพยานในข้อที่ว่า จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนดังพยานได้สอบสวนไว้เท่านั้น เมื่อคดีนี้จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธข้อหา มิได้ให้การรับสารภาพตามมาตรา 176แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบ ให้ฟังได้สมฟ้องจึงจะลงโทษจำเลยทั้งสี่ได้เมื่อในชั้นพิจารณาจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบเพียงว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนดังที่ได้สอบสวนจดบันทึกไว้เช่นนี้ ถือว่าเป็นแต่ส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเท่านั้น มิใช่เป็นหลักฐานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสี่ตามมาตรา 176 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พยานหลักฐานประกอบตามมาตรา 176 จะต้องไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพนั้นเอง การรับฟังคำรับชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสี่ ซึ่งจำเลยทั้งสี่ปฏิเสธในชั้นพิจารณามาใช้ลงโทษจำเลยทั้งสี่นั้น โจทก์และโจทก์ร่วมต้องมีพยานประกอบว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดจริงโดยพยานประกอบนั้นต้องไม่ใช่คำของเจ้าพนักงานตำรวจผู้สอบสวนคำรับนั้นเองส่วนบันทึกการจับกุม คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสี่ บันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและภาพถ่ายประกอบการนำชี้ที่เกิดเหตุนั้น แม้จะมีภาพจำเลยทั้งสี่และมีข้อความว่าจำเลยที่ 4 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายก็ตามแต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสี่ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเท่านั้น ไม่ใช่พยานหลักฐานที่จะนำมารับฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสี่ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เพื่อให้เห็นว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ส่วนเหรียญพระเครื่องของกลางจำนวน7 เหรียญ ที่ยึดได้จากจำเลยที่ 4 นั้น โจทก์ร่วมทั้งสองก็มิได้ยืนยันว่าเป็นของผู้ตาย โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสี่อย่างใดอีกเมื่อจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาและนำสืบปฏิเสธว่าคำรับดังกล่าวพนักงานสอบสวนได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมเพียงเท่าที่นำสืบมาก็ไม่พอให้รับฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ได้ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน