คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1381/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งจังหวัดสกลนครที่2106/2523ลงวันที่22สิงหาคม2523ที่ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)ของโจทก์จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แม้ว่าถ้ามีการเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวแล้วจะมีผลทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)ซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และที่ดินดังกล่าวมีราคาไม่เกิน200,000บาทก็ตามแต่ต้องถือว่าคำขอให้เพิกถอนคำสั่งจังหวัดสกลนครเป็นคำขอหลักส่วนที่โจทก์จะได้สิทธิครอบครองในที่ดินเป็นผลที่ได้ตามมาจึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ดินที่ประชาชนในหมู่บ้านสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันในการใช้เลี้ยงสัตว์ย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1304 การที่จะพิจารณาว่าที่ดินแปลงใดเป็นที่สาธารณะหรือไม่ต้องพิจารณาตามสภาพของที่ดินและการใช้ที่ดินแปลงนั้นว่าเข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1304หรือไม่หากโดยสภาพของที่ดินเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์แม้ทางราชการจะมิได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นที่หวงห้ามตามพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งถูกยกเลิกโดยมาตรา4แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ.2497ตั้งแต่วันที่1ธันวาคม2497แล้วและแม้ทางราชการจะมิได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์ไว้ก็หาทำให้ที่ดินซึ่งเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์อยู่แล้วกลับไม่เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ไปได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ 14 ไร่61 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ตำบลสว่าง (ปัจจุบันตำบลเชิงชุม)อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ซึ่งได้มาโดยการตกทอดทางมรดกและครอบครองทำประโยชน์โดยทำนาต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลากว่า 80 ปีแล้ว และเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2517ได้แจ้งให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายคือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4480เลขที่ดิน 102 ตำบลสว่าง (ปัจจุบันตำบลเชิงชุม) อำเภอพรรณานิคมจังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2523 จำเลยที่ 1 อาศัยอำนาจตามกฎหมายได้มีคำสั่งที่ 2106/2523 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2523ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ในที่ดินดังกล่าวอ้างว่าเป็นที่ดินทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์ บ้านสายร่องขำต่อมาเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2523 จำเลยที่ 2 ได้มีคำสั่งที่ 388/2523 ให้โจทก์และบริวารออกจากที่ดิน โจทก์เห็นว่าที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินที่ได้มาโดยสุจริต และไม่ใช่เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ จึงไม่ยอมออกจากที่ดินตามคำสั่งของจำเลยที่ 2เป็นเหตุให้ถูกพนักงานสอบสวนอำเภอพรรณานิคมจับดำเนินคดีในข้อหาบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์และขัดคำสั่งเจ้าพนักงานแต่พนักงานอัยการจังหวัดสกลนครมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องโจทก์หลังจากนั้นโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาโดยไม่มีผู้ใดรบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2532จำเลยที่ 2 สั่งให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 เข้าไปล้อมรั้วที่ดินของโจทก์และปิดป้ายว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ พร้อมกับได้ปลูกต้นยูคาลิปตัสในที่ดินทั้งแปลง ห้ามมิให้โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์อีกต่อไป ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งจังหวัดสกลนครที่ 2106/2523 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2523ให้ถือว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ทะเบียนเลขที่ 4480เลขที่ดิน 102 ตำบลสว่าง (ปัจจุบันตำบลเชิงชุม) อำเภอพรรณานิคมจังหวัดสกลนคร ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7รื้อรั้วและต้นไม้ที่ปลูกขึ้นใหม่ออกไปจากที่ดินของโจทก์ห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป หากไม่รื้อรั้วและต้นไม้ออกไปให้โจทก์มีอำนาจทำได้โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยทั้งเจ็ดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นรายปีปีละ 9,000 บาท นับตั้งแต่ปี 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 2ถึงที่ 7 จะได้รื้อรั้วและต้นไม้ออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งเจ็ดให้การให้ทำนองเดียวกันว่า โจทก์เข้าทำมาหากินในที่ดินแปลงนี้เมื่อปี 2510 ผลการสอบสวนปรากฏว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 1เป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้เพิกถอนคำสั่งจังหวัดสกลนครที่ 2106/2523 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2523 ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7รื้อรั้วและต้นไม้ที่ปลูกขึ้นใหม่ออกจากที่ดินโจทก์ ห้ามมิให้เกี่ยวข้องในที่ดินโจทก์อีกต่อไป คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลย ทั้ง เจ็ด ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งจังหวัดสกลนครที่ 2106/2523 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2523 ที่ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของโจทก์จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แม้ว่าถ้ามีการเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวแล้วจะมีผลทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)ซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และที่ดินดังกล่าวมีราคาไม่เกิน 200,000 บาท ก็ตาม แต่ต้องถือว่าคำขอให้เพิกถอนคำสั่งจังหวัดสกลนครเป็นคำขอหลัก ส่วนที่โจทก์จะได้สิทธิครอบครองในที่ดินเป็นผลที่ได้ตามมา จึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ที่จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์นั้น โจทก์กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทโจทก์ได้รับมาโดยทางมรดกส่วนฝ่ายจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์แต่ข้ออ้างของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ และพยานหลักฐานของจำเลยทั้งเจ็ดมีน้ำหนักเชื่อถือได้ จึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ประชาชนในหมู่บ้านสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันในการใช้เลี้ยงสัตว์ ย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทมิได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นที่หวงห้ามตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2474และไม่ปรากฏหลักฐานใด ๆ ของทางราชการว่าได้สงวนหวงห้ามที่ดินแปลงนี้ไว้เป็นที่สาธารณะ ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์นั้น เห็นว่าการที่จะพิจารณาว่า ที่ดินแปลงใดเป็นที่สาธารณะหรือไม่ต้องพิจารณาตามสภาพของที่ดินและการใช้ที่ดินแปลงนั้นว่าเข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 หรือไม่หากโดยสภาพของที่ดินเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ แม้ทางราชการจะมิได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นหวงห้ามตามพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งถูกยกเลิกโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2497 แล้วและแม้ทางราชการจะมิได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์ไว้ก็หาทำให้ที่ดินซึ่งเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์อยู่แล้วกลับไม่เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ไปได้ไม่ เมื่อฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) การที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งที่ 2106/2523ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2523 ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) สำหรับที่ดินพิพาทของโจทก์เอกสารหมาย จ.2 จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จะขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวหาได้ไม่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 รื้อรั้วและต้นไม้ที่ปลูกขึ้นใหม่ออกจากที่ดินพิพาท กับห้ามมิให้เกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีก ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share