แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เคยนำยึดห้องแถวบนที่ดินของผู้ร้องโดยอ้างว่าเป็นของจำเลยลูกหนี้ ตามคำพิพากษามาครั้งหนึ่งแล้ว ผู้ร้องร้องคัดค้านว่า ห้องแถวที่ยึดเป็นของผู้ร้อง ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอน การยึดฟ้องแถวดังกล่าวมีข้อความว่า ในวันนี้โจทก์ได้รับเงิน 2,100 บาท จากผู้ร้องไปเรียบร้อยแล้ว โจทก์จึงขอถอนการยึดห้องดังกล่าว และรับว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ใด ๆ บนที่ดินของผู้ร้องอีกต่อไป ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนการยึดได้ ดังนี้ แสดงว่าโจทก์และผู้ร้องได้ตกลงระงับข้อพิพาทเรื่องเถียงกรรมสิทธิในห้องแถวที่โจทก์นำยึดไว้นั้นเสีย โดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน คือ ผู้ร้องจ่ายเงินให้โจทก์ 2,000 บาท ฝ่ายโจทก์ยอมถอนการยึดห้องแถวและรับว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ใด ๆ บนที่ดิน ของผู้ร้องอีก จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ต่อมาโจทก์จะนำยึดห้องแถวบนที่ดินของผู้ร้องนั้นอีกหาได้ไม่ เมื่อโจทก์นำยึดห้องแถวบนที่ดินของผู้ร้องนั้นอีก ผู้ร้องก็ย่อมยื่นคำร้องว่ากล่าวในคดีเดิมนั้นได้ โดยหาจำต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่ไม่
ย่อยาว
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดห้องแถว ๕ ห้อง บนที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๔๐๒ โดยอ้างว่า เป็นของจำเลย เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องร้องคัดค้านว่าผู้ร้องได้รับซื้อขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๘๐๒ พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างซึ่งรวมทั้งห้องแถวที่โจทก์นำยึดด้วยไว้จากนายสัก นายสักไม่ซื้อคืนภายในกำหนด ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแล้ว และในคดีนี้โจทก์ได้เคยนำยึดห้องแถวเลขที่ ๒๗,๒๙ บนที่ดินแปลงเดียวกันนี้ โดยอ้างว่าเป็นของจำเลยมาครั้งหนึ่งแล้ว ผู้ร้องก็ได้ร้องขัดทรัพย์เช่นเดียวกัน ผลที่สุดโจทก์ขอรับเงินจากผู้ร้อง ๒,๐๐๐ บาท แล้วขอถอนการยึดไป ทั้งโจทก์ยอมรับว่าทรัพย์บนที่ดินของผู้ร้องนั้นเป็นของผู้ร้องอันแท้จริง และรับรองว่าโจทก์จะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ใด ๆ บนที่ดินรายนี้ ของผู้ร้องอีกต่อไป โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดทรัพย์ของผู้ร้องรายนี้อีก ขอให้ศาลสั่งถอนการยึดทรัพย์
โจทก์ให้การแก้คำร้องว่า แม้ผู้ร้องจะได้รับโอนที่ดินจากนายลัก ผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในห้องแถวเพราะยังเป็นของจำเลยอยู่ ซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษาไว้ตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ ๑๕๘/๒๔๙๙ ของศาลจังหวัดลพบุรี
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ปลูกห้องแถว ๒๐ ห้อง บนที่ดินของนางแดงโฉนดเลขที่ ๕๗๐+ แล้ว นางแดงได้ขายที่ดินนั้นให้นายสัก ส่วนห้องแถว ๒๐ ห้อง จำเลยก็ขายให้นายสักโดยทำสัญญาซื้อขายกันเอง ต่อมานายลักทำสัญญาขายฝากที่ดินนั้นพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างให้นายเรียนผู้ร้อง โดยทำสัญญากัน ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดลพบุรี นายลักไม่ไถ่ถอนในกำหนด สัญญาขายฝาก จำเลยเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์ โจทก์จึงนำยึดห้องแถวเลขที่ ๒๗,๒๙ โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย ผู้ร้องร้องคัดค้านว่าห้องแถวที่ยึดเป็นของผู้ร้อง ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลขอถอนการยึดห้องแถวดังกล่าว โดยโจทก์ได้รับเงิน ๒,๐๐๐ บาท จากผู้ร้อง และโจทก์รับว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ใด ๆ บนที่ดินของผู้ร้องอีก ศาลแพ่งอนุญาตให้ถอนการยึดได้ ต่อมาโจทก์ทราบว่าศาลฎีกาได้พิจารณามาในคดีอีกเรื่องหนึ่งว่า กรรมสิทธิ์ในห้องแถวยังคงเป็นของจำเลย เพราะการซื้อขายห้องแถวระหว่างจำเลยกับนายสักไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ คือ คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๓๖/๒๕๐๓ โจทก์จึงยึดห้องแถวเลขที่ ๑๒,๑๔,๑๖,๑๘ และ ๒๐ รวม ๕ ห้อง ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๘๐๒ อีกครั้งหนึ่งโดยอ้างว่าเป็นของจำเลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์กับผู้ร้องได้ทำความตกลงกันครั้งหนึ่งแล้ว โดยโจทก์รับเงินจากผู้ร้อง ๒,๐๐๐ บาท และรับรองว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ใด ๆ บนที่ดินของผู้ร้องอีก ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดห้องแถว ๕ ห้องนี้ มีคำสั่งให้ถอนการยึด
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเรื่องนี้ผู้ร้องยอมรับว่าห้องแถวที่โจทก์นำยึดยังเป็นของจำเลยอยู่ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าโจทก์ทำผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้กับผู้ร้องนั้น ที่ชอบที่ผู้ร้องขอให้ว่ากล่าวบังคับในคดีที่ทำสัญญากันไว้ หาใช่มาร้องขัดทรัพย์เป็นอีกคดีหนึ่งไม่ พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้ผู้ร้องมิได้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๘ เพียงอย่างเดียว แต่หากผู้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์เพราะเหตุที่โจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้กับผู้ร้องว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ใด ๆ บนที่ดินของผู้ร้องอีกต่อไปด้วย และเห็นว่า คำร้องขอยึดทรัพย์ของโจทก์ทั้งสองครั้งอยู่ในคดีเรื่องนี้ คำร้องของโจทก์ที่สัญญาว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ใด ๆ บนที่ดินของผู้ร้องก็อยู่ในสำนวนคดีเรื่องนี้ กับทั้งผู้ร้องได้เสียค่าธรรมเนียมอย่างฟ้องครบถ้วนแล้ว การจะให้ผู้ร้องดำเนินคดีอย่างใดอยู่ในอำนาจของศาล ศาลชั้นต้นรับดำเนินคดีนี้ไปทีเดียว เป็นการสะดวกสมควรแล้ว ไม่ทำให้คู่ความต้องเสียหายแต่ประการใด โจทก์ก็มิได้คัดค้านข้อนี้ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ใให้ไปฟ้องใหม่นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
คำร้องของโจทก์มีความว่า “ในวันนี้โจทก์ได้รับเงิน ๒,๐๐๐ บาท จากผู้ร้องไปเรียบร้อยแล้ว แสดงว่าโจทก์และผู้ร้องได้ตกลงระงับข้อพิพาทเรื่องเถียงกรรมสิทธิ์ในห้องแถวที่โจทก์นำยึดไว้นั้นเสีย และรับว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ใด ๆ บนที่ดินของผู้ร้องอีก จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ คำร้องนี้ ถึงแม้ผู้ร้องจะมิได้ลงนามด้วยก็ตาม สัญญานี้ก็มิได้เสียไปดังที่โจทก์ยกขึ้นอุทธรณ์ เพราะกฎหมายมิได้บังคับให้คู่กรณีต้องลงนามพร้อมกันจึงจะเป็นสัญญา
กฎหมายบังคับเพียงให้ผู้จะต้องรับผิดในสัญญาลงนามก็ใช้ได้ ฉะนั้น ผู้ร้องจึงยกเอาผลแห่งสัญญาขึ้นฟ้องร้องบังคับโจทก์ตามสัญญาได้ พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งของศาลชั้นต้น