คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5527/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้รับความยินยอมจากบิดามารดาให้ฟ้องและดำเนินคดีแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะมอบอำนาจให้ผู้อื่นฟ้องและดำเนินคดีแทนได้หาจำต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาอีกครั้งไม่ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการจัดสรรที่ดินไว้ในข้อ 1 ว่า การจัดจำหน่ายที่ดินติดต่อกันเป็นแปลงย่อย มีจำนวนตั้งแต่ 10 แปลงขึ้นไปไม่ว่าด้วยวิธีใด เมื่อปรากฏว่า ป. และ ย. ได้ร่วมกันแบ่งแยกที่ดินของตนออกเป็นแปลงย่อย รวม 27 แปลงแล้วประกาศขายให้แก่ประชาชนทั่วไปโดยได้ระบุที่ดินพิพาทอันเป็นรูปตัวทีในหนังสือโฆษณาจัดทำเป็นทางออกสู่ถนนสาธารณะ ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ซื้อที่ดิน การกระทำของ ป. และ ย. จึงเป็นการแสดงออกโดยปริยายว่า บุคคลทั้งสองได้จัดให้มีสาธารณูปโภคคือที่ดินพิพาทเป็นทางเข้าออก อันถือได้ว่าเป็นการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 ตามข้อ 1 ดังกล่าวประกอบด้วย ข้อ 30 วรรคหนึ่งและข้อ 32 ส่วนการที่ ป. และ ย. จะได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินหรือไม่เป็นอีกเรื่องต่างหาก หากบุคคลทั้งสองนั้นจะดำเนินการฝ่าฝืนโดยไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวก็ไม่ทำให้การดำเนินการขายที่ดินของบุคคลทั้งสองดังกล่าวไม่เป็นการจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย ที่ดินพิพาท จึงเป็นทางภารจำยอมตามกฎหมายแก่ที่ดินจัดสรรและที่ดินโจทก์ที่ได้รับจาก ส.ซึ่งซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากป.และย.จำเลยจะอ้างว่าจำเลยเป็นบุคคลภายนอกรับโอนโดยสุจริตและจดทะเบียนโดยสุจริตหาได้ไม่ เมื่อที่ดินพิพาทตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์จำเลยเป็นผู้ก่อสร้างสิ่งของลงบนที่ดินพิพาทเพื่อกีดขวางทางภารจำยอม อันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและเครื่องกั้นกีดขวางให้ออกไปจากทางภารจำยอมได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและเครื่องกั้นกีดขวางถนนที่สร้างขึ้นในที่ดินโฉนดเลขที่ 50108หากจำเลยไม่รื้อถอน ให้โจทก์รื้อถอนเองโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายและให้จำเลยจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวเป็นทางเข้าออกแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 50100, 50101ต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาประเวศ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่อาจพิพากษาเป็นทางภารจำยอมขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 50108เป็นทางจำเป็น
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินโฉนดเลขที่ 50108 ทั้งแปลงเป็นทางเข้าออกแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 50100 และ 50101 ของโจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาประเวศ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและเครื่องกั้นกีดขวางที่สร้างขึ้นในที่ดินโฉนดดังกล่าว คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 50100 และ 50101ตำบลสวนหลวง อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร โดยนางสันทัดสุวรรณรัต ย่าโจทก์ยกให้เมื่อปี 2521 จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 50108 ตำบลอำเภอจังหวัดเดียวกับโจทก์โดยนายกิจ จงวัฒนา บิดายกให้เมื่อปี 2528 ที่ดินดังกล่าวทั้งสามแปลงเดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกันคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 3ของนายประวิทย์ ศรีสง่า และนายเยื้อน จาดสันทัดนายประวิทย์และนายเยื้อนได้แบ่งขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นางสันทัดและนายกิจ ตามที่นายประวิทย์และนายเยื้อนได้แบ่งแยกเป็นที่ดินแปลงย่อย รวม 27 แปลง แล้วประกาศขายแก่ประชาชนทั่วไป ตามเอกสารหมาย จ.6 ที่ดินพิพาทได้แก่ที่ดินรูปตัวทีตามประกาศขายดังกล่าว ซึ่งเป็นทางเข้าออกของที่ดินที่นายประวิทย์และนายเยื้อนประกาศขายมีความกว้าง 6 เมตรยาว 300 เมตร ด้านหนึ่งจดถนนอ่อนนุช ต่อมาจำเลยได้ก่อสร้างป้อมยามและเครื่องกั้นกีดขวางลงบนที่ดินพิพาทด้านที่อยู่ติดกับถนนอ่อนนุช ตามรูปถ่ายหมาย จ.9 เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถใช้เป็นทางเข้าออกได้
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาเป็นประเด็นข้อแรกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ในข้อนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้รับความยินยอมจากนายเกษมสันต์ นางพรรณวิภา สุวรรณรัต บิดามารดาให้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้และโจทก์ได้มอบอำนาจให้นางพรรณวิภามารดาเป็นผู้ฟ้องและดำเนินคดีแทนจำเลยฎีกาอ้างเพียงว่า การมอบอำนาจของโจทก์ที่ให้นางพรรณวิภาฟ้องและดำเนินคดีแทนนั้นมิได้รับความยินยอมจากบิดามารดาจึงตกเป็นโฆฆียะตามกฎหมาย เห็นว่า เมื่อโจทก์ได้รับความยินยอมจากบิดามารดาให้ฟ้องและดำเนินคดีแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะมอบอำนาจให้ผู้อื่นฟ้องและดำเนินคดีแทนได้ หาจำต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาอีกครั้งไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
สำหรับประเด็นข้อต่อไปเกี่ยวกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 50108เป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์หรือไม่ นั้น ในข้อนี้จำเลยฎีกาอ้างว่า นายประวิทย์และนายเยื้อนไม่ได้ขออนุญาตต่อทางราชการเพื่อขอทำการจัดสรรที่ดินตามที่กำหนดไว้ในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าว เห็นว่า ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการจัดสรรที่ดินไว้ในข้อ 1 ว่า การจัดจำหน่ายที่ดินติดต่อกันเป็นแปลงย่อย มีจำนวนตั้งแต่ 10 แปลงขึ้นไปไม่ว่าด้วยวิธีใด เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า นายประวิทย์และนายเยื้อนได้ร่วมกันแบ่งแยกที่ดินของตนออกเป็นแปลงย่อย รวม 27 แปลง แล้วประกาศขายให้แก่ประชาชนทั่วไปตามหนังสือโฆษณาประกาศขายเอกสารหมาย จ.6 โดยได้ระบุที่ดินพิพาทอันเป็นรูปตัวทีในหนังสือโฆษณาดังกล่าวจัดทำเป็นทางออกสู่ถนนอ่อนนุช ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ซื้อที่ดิน การกระทำของนายประวิทย์และนายเยื้อนจึงเป็นการแสดงออกโดยปริยายว่านายประวิทย์และนายเยื้อนได้จัดให้มีสาธารณูปโภคคือ ที่ดินพิพาทเป็นทางเข้าออกอันถือได้ว่าเป็นการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ตามข้อ 1 ดังกล่าวประกอบด้วย ข้อ 30 วรรคหนึ่ง ที่ว่า สาธารณูปโภคซึ่งผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการจัดสรรที่ดินเช่น ถนนให้ถือว่าตกอยู่ในภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรและข้อ 32 ว่า ผู้ใดทำการจัดสรรที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและได้จัดจำหน่ายที่ดินจัดสรรไปแล้วบางส่วน หรือได้จัดให้มีสาธารณูปโภคไปแล้วบางส่วน เมื่อผู้นั้นยื่นรายการต่อคณะกรรมการภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับก็ทำให้การจัดสรรที่ดินต่อไปได้โดยไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้เว้นแต่กิจการอันเป็นสาธารณูปโภคซึ่งผู้จัดสรรได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการจัดสรรที่ดินให้อยู่ภายใต้บังคับแห่งข้อ 30 ด้วย ส่วนการที่นายประวิทย์และนายเยื้อนจะได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องต่างหากหากนายประวิทย์และนายเยื้อนจะดำเนินการฝ่าฝืนโดยไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว ก็ไม่ทำให้การดำเนินการขายที่ดินของนายประวิทย์และนายเยื้อนไม่เป็นการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายแต่อย่างใดดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงเป็นทางภารจำยอมตามกฎหมายแก่ที่ดินจัดสรรและที่ดินโจทก์ที่ได้รับจากนางสันทัดซึ่งซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากนายประวิทย์และนายเยื้อน จำเลยจะอ้างว่าจำเลยเป็นบุคคลภายนอกรับโอนโดยสุจริตและจดทะเบียนโดยสุจริตหาได้ไม่
ส่วนประเด็นเกี่ยวกับเรื่องโจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและเครื่องกั้นกีดขวางที่สร้างขึ้นในที่ดินพิพาทหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ จำเลยเป็นผู้ก่อสร้างสิ่งของดังกล่าวเพื่อกีดขวางทางภารจำยอม อันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและเครื่องกั้นกีดขวางให้ออกไปจากทางภารจำยอมได้
พิพากษายืน

Share