คำวินิจฉัยที่ 86/2559

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีที่เอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครองว่า สร้างถนนผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดี และมีการตัดต้นไม้เผาทำลาย ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายและปรับพื้นที่ให้คืนสู่สภาพเดิม ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า ที่ดินพิพาทมีประชาชนอุทิศให้ มิได้เข้าไปดำเนินการก่อสร้างถนนโดยพลการ จึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณะเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นการฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๘๖/๒๕๕๙

วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลปกครองอุดรธานี
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสว่างแดนดิน

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองอุดรธานีโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๘ นายสุนัน ชินมา ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องนายกองค์การบริหารส่วนตำบลศรีวิชัย ที่ ๑ องค์การบริหารส่วนตำบลศรีวิชัย ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองอุดรธานี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๓/๒๕๕๘ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก) เลขที่ ๘๗๗ ตำบลศรีวิชัย อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร เนื้อที่ ๒๗ ไร่ ๒ งาน ๒๐ ตารางวา โดยเมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๘ ผู้ฟ้องคดีไปลงชื่อรับรองการออกโฉนดที่ดินข้างเคียง พบว่ามีการตัดถนนผ่านที่ดินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งเป็นโครงการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ คิดเป็นเนื้อที่ ๓ ไร่ ๒ งาน ๓๐ ตารางวา รวมถึงได้มีการตัดต้นไม้ชนิดต่างๆ และเผาทำลายต้นไม้ ทำให้ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท และปรับพื้นที่ให้คืนสู่สภาพเดิม
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำให้การว่า สภาองค์การบริหารส่วนตำบลศรีวิชัยได้พิจารณาให้ความเห็นชอบและบรรจุโครงการขุดยกร่องพูนดินถนนเพื่อการเกษตรสายบ้านร่มเย็นพัฒนา – คุ้มนาโพธิ์ ไว้ในข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ โดยมีประชาชนจำนวน ๖ ราย อุทิศที่ดินให้เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ทราบว่าผู้ฟ้องคดีมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก) แปลงพิพาท เนื่องจากนายถวัลย์ ทุมมนตรี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้อุทิศที่ดินแปลงดังกล่าวมีเอกสารสำคัญใบจอง (น.ส. ๒) ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงและครอบครองที่ดิน โดยสงบ เปิดเผย มาจนถึงขั้นตอนการดำเนินโครงการและก่อสร้างถนนแล้วเสร็จและไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดคัดค้าน ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมิได้เข้าไปดำเนินการก่อสร้างถนนโดยพลการ จึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อจัดทำบริการสาธารณะให้ประชาชนโดยส่วนรวม ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองอุดรธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาคำชี้แจงของผู้ฟ้องคดีที่ได้โต้แย้งว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๘๗๗ เดิมมีนายบัววัน ผลสุขเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งสำนักงานที่ดินอำเภอวานรนิวาสเป็นผู้ออกเอกสารสิทธิ์ดังกล่าวให้เมื่อวันที่ ๒๐พฤษภาคม ๒๕๓๖ และผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาซื้อขายกับนายบัววัน เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๒ ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีโดยชอบธรรม เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองอ้างว่ามีประชาชนจำนวน ๖ ราย ได้อุทิศที่ดินให้ทำเป็นถนนสาธารณประโยชน์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงต้องมีหน้าที่ตรวจสอบกับสำนักงานที่ดินอำเภอวานรนิวาสให้แน่ชัดก่อนว่าที่ดินแปลงที่อุทิศเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อุทิศจริงหรือไม่ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองหาได้กระทำไม่ การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองที่ไม่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับที่ดินที่มีผู้อุทิศให้ก่อนที่จะดำเนินโครงการนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลจังหวัดสว่างแดนดินพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองในที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก) เลขที่ ๘๗๗ ตำบลศรีวิชัย อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร เนื้อที่ ๒๗ ไร่ ๒ งาน ๒๐ ตารางวา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองโต้แย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนายถวัลย์ ทุมมนตรี ซึ่งต่อมานายถวัลย์อุทิศที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เพื่อก่อสร้างถนนตามโครงการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ โดยนายถวัลย์มีเอกสารสำคัญใบจองในที่ดินพิพาทมาแสดงต่อผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองว่าครอบครองทำประโยชน์ จึงเป็นการโต้แย้งกันในเรื่องสิทธิในที่ดิน ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานทางปกครอง อ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ทำโครงการตัดถนนผ่านที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก) ของผู้ฟ้องคดี คิดเป็นความเสียหายเนื้อที่ ๓ ไร่ ๒ งาน ๓๐ ตารางวา รวมถึงมีการตัดต้นไม้ชนิดต่างๆ และเผาทำลาย ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายและปรับพื้นที่ให้คืนสู่สภาพเดิม ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การว่า โครงการตัดถนนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีประชาชนจำนวน ๖ ราย อุทิศที่ดินให้ โดยที่พิพาทมีนายถวัลย์ ทุมมนตรีเป็นผู้ครอบครองตามเอกสารสำคัญใบจอง (น.ส.๒) ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมิได้เข้าไปดำเนินการก่อสร้างถนนโดยพลการ จึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้องเห็นว่า แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนตัดถนนผ่านที่ดินพิพาท ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายและปรับพื้นที่ให้คืนสู่สภาพเดิมก็ตาม แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณะเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นการฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายสุนัน ชินมา ผู้ฟ้องคดี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลศรีวิชัย ที่ ๑ องค์การบริหารส่วนตำบลศรีวิชัย ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) ชาญชัย แสวงศักดิ์
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายชาญชัย แสวงศักดิ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share