คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภรรยาเอาเล็บข่วนหน้าสามีเป็นรอยถูกข่วนเพียงเล็กน้อยเลือดออกซิบๆ เท่านั้น จะถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บจนเป็นเหตุหย่าตามนัยมาตรา 1500(2) ยังไม่ได้
สามีภรรยาเป็นชาวออสเตรเลีย สามีเป็นผู้จัดการบริษัท ภรรยาตามไปทวงกุญแจรถจากสามีในที่ทำงานของสามี สามีไม่ให้ภรรยาได้พูดกับผู้ช่วยจัดการ(ชาวออสเตรเลีย)ต่อหน้าสามีเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ความว่า ‘คุณช่วยพูดกับอ้ายหมูนี่ให้รู้เรื่องทีเถิด’ คำว่าอ้ายหมู นี้หมายถึงโจทก์เป็นคำด่าและคำสบประมาทแม้จำเลยจะได้ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายนี้ด่าโจทก์ แต่ก็เพราะโกรธโจทก์ที่ไม่ยอมมอบกุญแจรถให้พฤติการณ์เช่นนี้แม้จะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ก็ยังไม่ใช่เป็นการหมิ่นประมาทซึ่งเป็นการร้ายแรงอันจะเป็นเหตุหย่าได้ตามมาตรา 1500(2)
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยต่อโจทก์หลายประการแต่มิได้กล่าวอ้างเลยว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างร้ายแรง และไม่ได้กล่าวเลยว่าการกระทำอย่างไรบ้างที่โจทก์ถือว่าเป็นการกระทำในลักษณะนั้นทั้งยังสรุปไว้ท้ายฟ้องโดยกล่าวแต่เหตุหย่าประการอื่นด้วยดังนี้ ศาลย่อมไม่ยกเหตุหย่าเรื่องทำการเป็นปฏิปักษ์ฯการเป็นสามีภรรยาฯขึ้นวินิจฉัย (ไม่ว่าการกระทำตามที่บรรยายไว้นั้นจะพอให้ถือว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ฯหรือไม่ก็ตาม)
โจทก์นำสืบว่า จำเลยเคยทำร้ายร่างกายโจทก์ถึงบาดเจ็บมาครั้งหนึ่งแล้วต่อมาภายหลังยังข่วนหน้าโจทก์อีกการทำร้ายครั้งแรกนั้นล่วงเลยกำหนด 3 เดือนซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำมาฟ้องอ้างเป็นเหตุหย่าในคดีนี้ได้ และเมื่อการข่วนหน้าในครั้งหลังนี้ก็ไม่เข้าลักษณะเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บอันจะเป็นเหตุหย่าได้แล้วแม้ศาลจะยกเอาการทำร้ายร่างกายในครั้งก่อนมาสนับสนุนตามมาตรา1509 วรรค2 ก็หาเป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลย โดยบรรยายเหตุหย่าหลายประการ และสรุปไว้ว่า ถือได้ว่าจำเลยได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ถึงบาดเจ็บ ด่า และหมิ่นประมาทโจทก์และบุพการีของโจทก์ซึ่งเป็นการร้ายแรง กับประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงเป็นเนืองนิจโจทก์สุดแสนจะทนทานอยู่ร่วมกับจำเลยในฐานะสามีจำเลยต่อไปได้

จำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาของโจทก์ กับตัดฟ้องด้วยเหตุหลายประการขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งว่าหากศาลจะพิพากษาให้หย่าก็ขอให้พิพากษาให้โจทก์ส่งบุตรให้จำเลยใช้อำนาจปกครองและให้แบ่งสินสมรสให้ครึ่งหนึ่ง

โจทก์ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาของจำเลย ขอให้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีและยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และให้ยกฟ้องแย้งจำเลยโดยไม่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริง เพราะจำเลยประสงค์จะให้วินิจฉัยก็ต่อเมื่อศาลพิพากษาให้หย่าเท่านั้น

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

1. ที่โจทก์ว่าจำเลยข่วนหน้าโลหิตไหล แสดงว่าโจทก์ได้รับบาดเจ็บอันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(2) นั้น ได้ความว่าจำเลยเอาเล็บข่วนหน้าโจทก์และเป็นรอยถูกข่วนเพียงเล็กน้อยเลือดออกซิบ ๆ เท่านั้น จะถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บจนเป็นเหตุหย่าตามนัยมาตรา 1500(2) ยังไม่ได้

2. ที่โจทก์ว่าจำเลยหมิ่นประมาทโดยจำเลยด่าโจทก์ว่า “อ้ายหมู” ต่อหน้านายเวสตันผู้ช่วยของโจทก์นั้น ได้ความว่า ในวันนั้น ก่อนโจทก์ไปทำงาน โจทก์จำเลยทะเลาะกันโจทก์ไปทำงานโดยรถแท็กซี่เอากุญแจรถยนต์ไปด้วย จำเลยจะใช้รถถึงตามไปเอากุญแจรถที่บริษัทโจทก์ ตอนที่โจทก์ว่าจำเลยหมิ่นประมาทนั้น ได้ความว่า จำเลยเข้าไปยืนใกล้ ๆ นายเวสตันและพูดเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ความว่า “คุณช่วยพูดกับอ้ายหมูนี่ให้รู้เรื่องทีเถิด” คำว่า อ้ายหมู นี้ใช้คำว่า “สไวน์” และจำเลยหมายถึงโจทก์ โจทก์นำสืบว่าคำว่า “สไวน์” เป็นคำด่าและคำสบประมาท เห็นว่า จริงอยู่จำเลยได้ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายนี้ด่าโจทก์ แต่ทั้งนี้ก็เพราะจำเลยโกรธโจทก์โดยโจทก์ไม่ยอมมอบกุญแจรถให้ พฤติการณ์เช่นนี้แม้จะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ก็ยังไม่ใช่เป็นการหมิ่นประมาทซึ่งเป็นการร้ายแรงอันจะเป็นเหตุหย่าได้ตามมาตรา 1500(2)

3. การที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้บรรยายในฟ้องถึงการกระทำของจำเลยต่อโจทก์ตั้งแต่ประเทศออสเตรเลียจนกระทั่งมาอยู่ในประเทศไทยการกระทำตามที่บรรยายในฟ้องและการนำสืบของโจทก์แสดงว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรงโจทก์จึงขอหย่าได้ตามมาตรา 1500(3) นั้น เห็นว่า จริงอยู่ โจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยต่อโจทก์หลายประการ แต่ตอนท้ายโจทก์สรุปไว้ว่า”ตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้นถือได้ว่าจำเลยได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ถึงบาดเจ็บ ด่า และหมิ่นประมาทโจทก์และบุพการีของโจทก์ซึ่งเป็นการร้ายแรง กับประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงเป็นเนืองนิจ โจทก์สุดแสนจะทนทานอยู่ร่วมกับจำเลยในฐานะเป็นสามีจำเลยต่อไปได้…” โจทก์มิได้กล่าวอ้างในฟ้องเลยว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างร้ายแรง และไม่ได้กล่าวเลยว่าการกระทำอย่างไรบ้างที่โจทก์ถือว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างร้ายแรง เช่นนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ยกเหตุหย่าข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยจึงชอบแล้ว ส่วนการที่โจทก์นำสืบว่าเมื่อเดือนมิถุนายนค.ศ. 1959 จำเลยได้ผลักประตูกระแทกหน้าโจทก์แตกกับกระดูกจมูกหักนั้นก็ล่วงเลยกำหนด 3 เดือน ดังที่ศาลชั้นต้นก็ได้ชี้ขาดไว้แล้วว่าโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำมาฟ้องอ้างเป็นเหตุหย่าในคดีนี้ได้ตามมาตรา 1509 วรรค 1 แม้ศาลจะยกขึ้นมาเป็นเหตุสนับสนุนเหตุหย่าคือ การทำร้ายร่างกายในครั้งหลัง ๆ นี้ได้ตามมาตรา 1509 วรรค 2 ก็ตาม ก็เมื่อได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า การทำร้ายร่างกายโดยข่วนหน้าในครั้งหลังนี้ไม่เข้าลักษณะเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บอันจะเป็นเหตุหย่าได้ตามมาตรา 1500(2) ดังนี้ การที่นำเอาการทำร้ายร่างกายในครั้งก่อนมาสนับสนุนก็หาเป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ไม่

เมื่อได้วินิจฉัยฎีกาข้ออื่นด้วยแล้ว พิพากษายืน

Share