คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1336/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นข้าราชการพลเรือนวิสามัญชั้นตรี รับราชการอยู่ในแผนกเงินและรายได้ กองผลประโยชน์สำนักงานท่าเรือกรุงเทพ ฯ กรมการขนส่งกระทรวงคมนาคมมีหน้าที่เก็บเงินลูกหนี้ของสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ แล้วต้องนำส่งต่อเจ้าหน้าที่กองผลประโยชน์ แต่จำเลยเก็บเงินมาแล้วบังอาจยักยอกเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย มิได้ส่งให้ทั้งหมดตามหน้าที่ ดังนี้ ย่อมเป็นความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 131 ไม่ใช่มาตรา 319 (3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นเจ้าพนักงานทุจริต ยักยอกทรัพย์ ในหน้าที่และทำหลักฐานเท็จปลอมหนังสือสำคัญในราชการ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๑๙ (๓) ,๒๓๐ ,๒๒๕
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา ๑๓๑,๒๒๕,๒๓๐ แต่ให้จำคุกจำเลยตามมาตรา ๑๓๑ ซึ่งเป็นกะทงหนักมีกำหนด ๑๐ ปี ลดตามมาตรา ๕๙ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๕ ปี
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษเบาอีก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกับศาลชั้นต้นว่า จำเลยเป็นข้าราชการพลเรือนวิสามัญชั้นตรีรับราชการอยู่ในแผนกเงินและรายได้ กองผลประโยชน์สำนักงานท่าเรือกรุงเทพ ฯ กรมการขนส่ง กระทรวงคมนาคมมีหน้าที่เก็บเงินลูกหนี้ของสำนักงานท่าเรือกรุงเทพ ฯ แล้วต้องนำส่งต่อเจ้าหน้าที่กองผลประโยชน์ แต่จำเลยเก็บเงินมาแล้วบังอาจยักยอกเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย มิได้ส่งให้ทั้งหมดตามหน้าที่ไม่ ข้อเท็จจริงนี้ศาลฎีกาจำต้องฟังตาม ฉะนั้นความผิดของจำเลยจึงต้องเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ในหน้าที่ราชการตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๑๓๑ หาใช่เป็นความผิดฐานยักยอกธรรมดาไม่
จึงพิพากษายืน

Share