คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4175/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเดิมโจทก์ได้ฟ้องจำเลยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 14 โฉนด พร้อมกับห้องแถว 14 ห้องและให้โอนที่ดินพร้อมกับห้องแถวดังกล่าวเป็นของโจทก์ โดยจำเลยได้ปลอมใบมอบอำนาจว่าโจทก์ที่ 1 ยกที่ดินและห้องแถวให้จำเลยโดยเสน่หาแล้ว จำเลยได้นำใบมอบอำนาจปลอมดังกล่าวไปทำการโอนที่ดินและห้องแถวเป็นของจำเลย คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาแล้วโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้กล่าวอ้างว่าห้องแถว 6 ห้องในจำนวน14 ห้องที่โจทก์ฟ้องดังกล่าวจำเลยได้นำออกให้คนอื่นเช่าเก็บค่าเช่าเป็นผลประโยชน์ของจำเลย ขอให้จำเลยนำค่าเช่าไปวางศาลหรือธนาคารของรัฐและถ้าหากมีการเช่าห้องแถวจำนวน 6 ห้องในอนาคตก็ให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าในอนาคตให้โจทก์ ระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดโดยให้จำเลยนำเงินค่าเช่าในอนาคตไปวางศาลหรือธนาคารของรัฐและถ้าหากมีการขายห้องแถว 6 ห้องดังกล่าวก็ให้จำเลยคืนเงินที่ขายได้ให้โจทก์ โดยระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดให้นำไปวางศาลหรือธนาคารของรัฐนั้น เห็นว่าเงินค่าเช่าและค่าขายทรัพย์พิพาทได้ในอนาคตที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยนำมาวางศาลในคดีนี้ก็คือค่าเสียหายและราคาทรัพย์อันเป็นผลเนื่องมาจากการที่จำเลยโอนที่ดินและห้องแถวพิพาทในคดีเดิมนั่นเอง ซึ่งค่าเสียหายและค่าขายทรัพย์ดังกล่าวตามที่ฟ้องในคดีนี้ย่อมเกิดขึ้นทันทีที่จำเลยโอนที่ดินและห้องแถวพิพาทเป็นของตน สิทธิการฟ้องคดีนี้เกิดจากมูลกรณีเดียวกันกับข้ออ้างของโจทก์ในคดีเดิม จึงเป็นเรื่องเดียวกันโจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินรวม 14 โฉนดและห้องแถว 14 ห้องจำเลยได้ปลอมใบมอบอำนาจว่า โจทก์ที่ 1 ยกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวทั้งหมดให้จำเลยโดยเสน่หาแล้ว จำเลยได้นำใบมอบอำนาจดังกล่าวไปทำการโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นของจำเลยในวันเดียวกันจำเลยได้โอนขายห้องตามโฉนดที่ดินที่ 10170 ให้แก่นางฉวีวรรณ การที่จำเลยปลอมใบมอบอำนาจเอาห้องแถวจำนวน 14 ห้อง และที่ดิน 14 โฉนดเป็นของจำเลยทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถโอนขายให้บุคคลอื่นได้ ส่วนห้องแถวอีก 6 ห้องจำเลยก็เอาไปให้บุคคลอื่นเช่า ได้ค่าเช่ารวมทั้งดอกเบี้ยเป็นเงิน 303,287 บาทขอให้จำเลยคืนค่าเช่าดังกล่าวให้แก่โจทก์ในระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดให้จำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวไปวางไว้ต่อศาลหรือธนาคารของรัฐ หากมีการให้เช่าห้องแถว 6 ห้องในอนาคตก็ให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าในอนาคตให้แก่โจทก์ ในระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดให้จำเลยนำเงินค่าเช่าในอนาคตไปวางไว้ต่อศาลหรือธนาคารของรัฐ หากมีการขายห้องแถวจำนวน 6 ห้องดังกล่าวไปก็ให้จำเลยนำเงินที่ขายได้คืนให้แก่โจทก์ ในระหว่างที่คดียังไม่ถึงที่สุดให้จำเลยนำเงินที่ขายได้วางไว้ต่อศาลหรือธนาคารของรัฐ

จำเลยให้การว่าใบมอบอำนาจที่จำเลยนำไปโอนที่ดินและห้องแถวเป็นใบมอบอำนาจที่แท้จริง โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่าเช่าห้องดังกล่าวเพราะจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ฟ้องของโจทก์ต้องห้ามเพราะโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 163/2523 ของศาลจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งถือว่าเป็นฟ้องเรื่องเดียวกัน ขอให้ยกฟ้อง

ในวันชี้สองสถานคู่ความรับกันว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลย ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 14 โฉนดพร้อมห้องแถว 14 ห้องตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 42/2523 ของศาลจังหวัดมหาสารคามซึ่งคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดสืบพยาน

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 42/2523 ฟ้องของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ในคดีนี้เคยฟ้องจำเลยในคดีนี้ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 10167 ถึง 10179 และ 671พร้อมสิ่งปลูกสร้าง คือห้องแถว 14 ห้องและให้โอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์โดยอ้างว่าเป็นของโจทก์ โดยจำเลยได้ปลอมใบมอบอำนาจว่าโจทก์ที่ 1 ยกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ให้จำเลยโดยเสน่หาแล้ว จำเลยได้นำใบมอบอำนาจดังกล่าวไปทำการโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นของจำเลยตามคดีหมายเลขดำที่ 42/2523 คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาแล้ว โจทก์จึงได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ กล่าวอ้างว่าห้องแถว 6 ห้องในจำนวน 14 ห้องที่โจทก์ฟ้องอ้างว่าเป็นของโจทก์ในคดีดังกล่าว จำเลยได้นำออกให้คนอื่นเช่าแล้วเก็บค่าเช่าเป็นประโยชน์ส่วนตัว จึงขอให้จำเลยนำเงินค่าเช่าพร้อมด้วยดอกเบี้ยไปวางศาลหรือธนาคารของรัฐ ในระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด และถ้าหากมีการเช่าห้องแถวจำนวน 6 ห้องในอนาคตก็ให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าในอนาคตให้โจทก์ระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดโดยให้จำเลยนำเงินค่าเช่าในอนาคตนี้ไปวางศาลหรือธนาคารของรัฐ และถ้าหากมีการขายห้องแถว 6 ห้องดังกล่าวก็ให้จำเลยคืนเงินที่ขายได้ให้โจทก์โดยระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดให้นำไปวางศาลหรือธนาคารของรัฐ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเงินค่าเช่าและค่าขายทรัพย์พิพาทได้ในอนาคตที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยนำมาวางศาลในคดีนี้ก็คือค่าเสียหายและราคาทรัพย์อันเป็นผลเนื่องมาจากการที่จำเลยโอนที่ดินและห้องแถวพิพาทในคดีหมายเลขดำที่ 42/2523 เป็นของตนนั่นเองซึ่งค่าเสียหายและค่าขายทรัพย์ดังกล่าวตามที่ฟ้องในคดีนี้ย่อมเกิดขึ้นทันทีที่จำเลยโอนที่ดินและห้องพิพาทเป็นของตนสิทธิการฟ้องคดีนี้เกิดจากมูลกรณีเดียวกันกับข้ออ้างของโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ 42/2523 จึงเป็นเรื่องเดียวกันแต่โจทก์หาได้ฟ้องเป็นคดีเดียวกันไม่ เพิ่งมาฟ้องใหม่เป็นคดีนี้ จึงเป็นคดีที่ฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 42/2523 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)

พิพากษายืน

Share