แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บิดาฝ่ายชายหมั้นหญิงและได้มอบเงินเป็นของหมั้นไว้กับบิดามารดาหญิงแล้ว ต่อมาบิดามารดาหญิงปฏิเสธว่าไม่ได้รับของหมั้นไว้ดังนี้ เงินหมั้นนั้นมิใช่ของที่มอบหมายให้ดูแลรักษา ฯลฯ ตามความในมาตรา 314 รูปคดีเป็นมูลกรณีทางแพ่งเกี่ยวกับเรื่องผิดสัญญาหมั้น บิดาชายจะฟ้องหาว่าบิดามารดาหญิงยักยอกของหมั้นในทางอาญาไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ได้หมั้นนางสาวหยอกบุตรจำเลยทั้งสองให้แก่นายยินบุตรโจทก์ และโจทก์ได้มอบเงินหมั้น ๓๐๐๐ บาทให้แก่จำเลยทั้งสองไว้แล้ว ภายหลังโจทก์ไปกำหนดวันแต่งงาน จำเลยกลับปฏิเสธว่าไม่เคยได้รับหมั้นทั้งไม่เคยรับเงินไว้จากโจทก์ ความจริงจำเลยได้รับเงินรายนี้ไว้แล้วทุจริตเบียดบังเอาไว้ใช้เสียเอง หรือเอาไปใช้เป็นอาณาประโยชน์ของผู้อื่น ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๑๔ กับให้คืนเงิน ๓,๐๐๐ บาทและใช้ค่าเสียหายอีก ๔๕๐ บาท
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นมูลกรณีทางแพ่งเกี่ยวกับเรื่องผิดสัญญานั้น จึงสั่งยกฟ้องในคดีอาญา คงประทับฟ้องในคดีแพ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เงิน ๓,๐๐๐ บาทที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นเงินหมั้น ซึ่งตามกฎหมายเรียกว่า “ของหมั้น” ตามป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๔๓๖ จึงมิใช่เงินที่จำเลยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลรักษา ฯลฯ ตามเจตนารมย์แห่ง ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๑๔ เพราะว่าถ้าได้มีการสมรสกันเงินหมั้นรายนี้ก็ตกเป็นสิทธิแก่หญิง ฝ่ายชายจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ไม่มีการสมรสกัน เงินหมั้นรายนี้ก็ต้องคืนหรือถูกริบแล้วแต่กรณีที่เป็นความผิดของฝ่ายใด เพียงการปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินหมั้นไว้ ผลก็ตรงกับไม่ยอมคืนหมั้นนั่นเองจึงเป็นคดีที่จะฟ้องร้องว่ากล่าวกันในทางแพ่งดังที่ศาลล่างชี้มา
จึงพิพากษายืน