คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2489

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยได้รับอนุญาตให้จับจองที่ดินคร่อมทางหลวงนั้น หาอาจทำให้เกิดสิทธิแก่จำเลยที่จะปิดกั้นทำประโยชน์ทางหลวงนั้นได้ไม่เพราะการจับจองนั้นขัดต่อกฎหมายหากจำเลยปิดกั้นทางหลวงนั้น ก็เป็นผิดทางอาญา
นายอำเภออนุญาตให้จำเลยจับจองที่ดินทางหลวง ภายหลังสั่งให้จำเลยรื้อสิ่งกีดขวางทางหลวง ซึ่งจำเลยทำไว้เมื่อได้รับใบเหยียบย่ำแล้ว จำเลยขัดขืนไม่ทำตามสั่งดังนี้ ไม่เป็นผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน เพราะคำสั่งของนายอำเภอไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

ได้ความว่า จำเลยได้รับใบเหยียบย่ำให้จับจองที่ดินแปลงหนึ่ง ซึ่งคร่อมทางสาธารณะอันเป็นทางหลวงสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ครั้นแล้วจำเลยได้บังอาจปิดทางสาธารณะดั่งกล่าวนั้นเสียโดยโค่นต้นไม้ใหญ่ขวางทาง และปลูกต้นไม้ลงในทาง นายอำเภอได้ออกคำสั่งให้จำเลยเปิดทางสาธารณะนั้นภายในกำหนด ๗ วัน จำเลยขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง โจทก์ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๓๓๖ (๒) , ๓๓๘ (๒) และ ๗๑
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษฐานปิดกั้นทางหลวงกะทงเดียว ส่วนข้อหาฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานให้ยก
โจทก์จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยปิดกั้นทางหลวงนั้น จำเลยจะอ้างสิทธิจากใบเหยียบย่ำไม่ได้ เพราะการจับจองที่ดินตามกฎหมายเรื่องที่ดิน จะมีได้แต่ฉะเพาะที่ดินรกร้างว่างเปล่าและที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นเท่านั้น ทางหลวงไม่ใช่ทรัพย์ดังว่านี้ ผู้ใดจะได้รับอนุญาตให้จับจองหาได้ไม่จำเลยย่อมต้องรู้กฎหมายข้อนี้นด้วย เมื่อจำเลยรู้แล้วว่าเป็นทางหลวง แต่บังอาจปลูกสิ่งใด ๆ ล้ำเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยชอบก็ต้องมีผิดฐานกันทางหลวงดังโจทก์ฟ้อง ส่วนฎีกาโจทก์ที่ขอให้ลงโทษฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานนั้น โจทก์อ้างพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ พ.ศ.๒๔๕๗ ซึ่งให้อำนาจกรมการอำเภอ ศาลฎีกาเห็นว่าตามพระราชบัญญัตินี้ ให้เป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอจะต้องคอยตรวจตรารักษาอย่าให้ผู้ใดเกียดกันเอาไปเป็นอาณาประโยชน์แต่ฉะเพาะตัว แต่เรื่องนี้ปรากฎอย่าให้ผู้ใดเกียดกันเอาไปเป็นอาณาประโยชน์แต่ฉะเพาะตัว แต่เรื่องนี้ปรากฎว่านายอำเภอเองออกใบเหยียบย่ำให้จำเลยจับจองทางหลวง คำสั่งของนายอำเภอให้จำเลยเปิดทางหลวงจึงไม่เป็นคำสั่งที่นายอำเภอปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่เป็นคำสั่งหรือคับบังคับอันชอบด้วยกฎหมาย

Share