คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1035/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อที่ดิน (ที่มือเปล่า) จากผู้อื่นด้านยาวทิศใต้จดถนนหลวง ด้านกว้างทิศตะวันออกจดคลอง แล้วให้จำเลยเช่าโดยระบุว่าเช่าเพื่อปลูกอาสัย จำเลยใช้ที่ของโจทก์ทำคอกเป็ดและเลี้ยงเป็ด แต่ปลูกโรงเรือนอยู่ที่ในที่ดินต่อกับเขตที่ของโจทก์ออกไปทางทิศตะวันออก เป็นที่ซึ่งน้ำในลำคลองท่วมถึงเป็นปกติเกือบตลอดปี ที่ซึ่งจำเลยปลูกโรงเรือนนี้ย่อมเป็นที่ชายตลิ่งสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304 ไม่ใช่ที่งอกริมตลิ่งตามมาตรา 1308 แม้โจทก์จะได้ครอบครองที่รายนี้มา 10 ปีเศษแล้ว แต่เมื่อตรงที่จำเลยปลูกโรงเรือนเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ก็จะอ้างสิทธิครอบครองว่าเป็นของตนหาได้ไม่
แม้โรงเรือนของจำเลยจะไม่บังที่ดินของโจทก์ด้านถนนหลวง แต่ก็ปลูกอยู่ในที่ขายตลิ่งด้านที่ที่ดินโจทก์ติดริมคลอง เป็นที่กีดขวางระหว่างที่ดินของโจทก์กับคลองทำให้ที่ดินของโจทก์ด้านนั้นถูกริดรอนความสะดวกไปบ้า+โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยให้รื้อถอนโรงเรือนไปเสียได้ตามมาตรา 1337
โจทก์มุ่งหมายเรียกค่าเสียหายเฉพาะที่ขาดประโยชน์ที่ควรได้จากการเช่า เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อโรงเรือนอย่าให้ปิดบังกีดขวางหน้าที่ดินของโจทก์โดยมิใช่เหตุเพราะผิดสัญญาเช่า ศาลก็ไม่บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน ๑ แปลง จำเลยได้เช่าที่ของโจทก์ตอนหนึ่งทางตะวันออกเพื่อปลูกบ้านอาศัย แต่จำเลยปลูกสร้างบ้านบางส่วนออกไปที่ชายตลิ่งของคลองบอดซึ่งเป็นผืนเดียวกับที่ของโจทก์ ซึ่งโจทก์ครอบครองและมีสิทธิตามกฎหมาย เมื่อเลิกสัญญาแล้ว โรงเรือนตลอดถึงทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ที่จำเลยทำไว้ในที่เช่านั้นต้องตกเป็นของโจทก์ตามสัญญา บัดนี้ เลยกำหนดอายุสัญญาเช่าแล้ว โจทก์บอกกล่าวแก่จำเลย ๆ เพิกเฉย ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์เดือนละ ๑๐๐ บาท ขอให้บังคับให้จำเลยและบริวารออกจากโรงเรือนที่ดิน ไม่ให้เกี่ยวข้องต่อไป แต่ถ้าศาลเห็นว่าโรงเรือนยังเป็นของจำเลย ก็จำให้จำเลยรื้อถอนออกไป เพราะปิดบังหน้าที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่ได้เช่าที่โจทก์ปลูกบ้าน จำเลยปลูกอยู่ริมตลิ่งของคลองบอดอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ไม่มีสิทธิตามกฎหมายในที่ชายตลิ่ง ทั้งไม่ได้ครอบครองที่นั้นจำเลยครอบครองตลอดมาตั้งแต่โจทก์ได้ที่ดินของโจทก์มา เรือนจำเลยไม่ปิดบังหน้าที่ดินโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินคอกเป็ดที่จำเลยเช่าจากโจทก์ โดยให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างส่วนหนึ่งของคอกเป็ดถอยร่นออกไปจากเขตที่ที่โจทก์ซื้อมา คำขอนอกนี้ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๐๒ โจทก์ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากนายจรัส ทิศเหนือยาว ๗ เส้น ๑๕ วา จดที่นายเคลื่อนและทะเล ทิศใต้จดถนนหลวง ทิศตะวันออกจดคลองบอด ทิศตะวันตกจดสถานีตำรวจน้ำตามแผนที่ที่เจ้าพนักงานศาลทำตามอาณาเขตในหนังสือซื้อขาย ปรากฎว่าด้านทิศเหนือของที่โจทก์ที่ว่ายาว ๗ เส้น ๑๕ วานั้น ก็เพียงจด ก. ยังห่างโรงจำเลยอีก + วา โดยมีที่ว่างสำหรับเลี้ยงเป็ดและโรงเลี้ยงเป็ดของจำเลยคั่นอยู่ (ยังไม่จดคลองบอด) ด้านตะวันออกของโรงจำเลยมีน้ำในลำคลองบอดท่วมถึงราว ๓ วา เป็นปกติ เห็นได้ว่าที่ซึ่งจำเลยปลูกโรงอยู่นอกเขตที่ดินที่โจทก์ซื้อมา แม้อาณาเขตที่ของโจทก์ทางตะวันออกจะระบุว่าจดคลองบอดก็หมายความว่าจดเพียงส่วนที่น้ำในลำคลองท่วมไม่ถึงตามปกติเท่านั้น ทั้งที่ซึ่งจำเลยปลูกโรงก็เป็นที่ชายตลิ่งสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ หาใช่ที่งอกริ่มตลิ่งตามมาตรา ๑๓๐๘ ไม่ เพราะน้ำในคลองท่วมถึงอยู่เกือบตลอดปี ที่ดินที่โจทก์ให้จำเลยเช่าตามสัญญาเช่าลงวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๐๓ (โจทก์ฟ้องคดีนี้ ๑๔ มีนาคม ๒๕๐๔) จึงน่าจะเป็นที่ซึ่งจำเลยทำคอกเป็ดและใช้เลี้ยงเป็ด แต่ที่กล่าวไว้ในสัญญาเช่าว่าจำเลยเช่าเพื่อปลูกบ้านอาศัยนั้น โจทก์คงหมายรวมถึงที่ชายตลิ่งว่าเป็นของโจทก์เสียด้วยส่วนเรื่องการครอบครองก็ได้ควมว่าโจทก์ได้ครอบครองที่รายนี้มา ๑๐ ปีเศษแล้ว ตั้งแต่ตกลงจะซื้อของนายจรัส และได้ให้จำเลยเช่าตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ แต่ที่ชายตลิ่งริมคลองบอดซึ่งจำเลยปลูกโรงเรือนนั้นเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินน้ำท่วมถึง โจทก์จะอ้างสิทธิครอบครองว่าเป็นของตนหาได้ไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่า โรงเรือนของจำเลยปลูกปิดบังหน้าที่ดินของโจทก์นั้น ปรากฎว่าที่ชายตลิ่งที่จำเลยปลูกโรงเรือนอยู่ทางด้านกว้างของที่ดินโจทก์ตอนริมคลองบอดเป็นที่กีดขวางระหว่างที่ดินของโจทก์กับคลองบอด ทำให้ที่ดินของโจทก์ด้านนั้นถูกริดรอนความสะดวกไปบ้าง โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะให้จำเลยปฏิบัติการเพื่อขจัดการนั้นให้สิ้นไปได้ตามมาตรา ๑๓๓๗ แม้โรงเรือนของจำเลยจะไม่ปิดบังที่ดินของโจทก์ด้านถนนหลวงก็ได้
จึงพิพากษาแก้ให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนของจำเลยอย่างให้ปิดบังกีดขวางหน้าที่ดินของโจทก์ด้านริมคลองบอดต่อไป ส่วนค่าเสียหายนั้นโจทก์มุ่งหมายเรียกเฉพาะค่าขาดประโยชน์ที่ควรได้จากการเช่า หาใช่ค่าเสียหายเรื่องปิดบังหน้าที่ดินโจทก์ไม่ จึงไม่บังคับให้

Share