แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินมฤดกตกได้แก่มารดาบุตร เมื่อเจ้ามฤดกตายแล้วทายาทก็เก็บค่าเช่าแบ่งกันต่อมาประมาณ 4 ปี มารดาโอนขายที่มฤดกในนามของตนและแทนเด็กไปตามลำพังดังนี้ อัยยการเป็นโจทก์ฟ้องแทนเด็กขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายได้
การเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดิน ซึ่งผู้ขายขายในนามของตนเองและขายแทน เมื่อมีการเพิกถอนสัญญาโดยขายแทนเด็กไม่ได้ ก็ต้องเพิกถอนทั้งหมดส่วนผู้ขายจะต้องรับผิดชอบต่อผู้ซื้ออย่างไรก็คงมีอยู่ตามกฎหมาย
มารดาขายที่ดินแทนเด็กตามลำพังนั้น ถ้าผู้ซื้อทราบอยู่แล้วว่าเด็กทั้งสองมีกรรมสิทธิในทรัพย์นั้นด้วย ผู้ซื้อจะยกเอาความสุจริตขึ้นต่อสู้ไม่ได้ ฝ่ายเด็กก็ขอให้เพิกถอนสัญญานั้นได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๒ นายตันยู่อีตาย มีที่ดินและตีกเป็นมฤดกตกได้แก่จำเลยที่ ๑ และ ด.ญ.อึเจง ,ด.ช.ยิมอานซึ่งเป็นบุตรนายตันยู่อี เกิดกับจำเลยที่ ๑ เป็นภรรยาเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๖ จำเลยที่ ๑ เอาที่ดินและตึกไปขายให้แก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓  เด็กทั้งสองมาขอให้อัยยการว่าคดี อัยยการจึงเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ทำลายนิติกรรมซื้อขาย
ศาลจังหวัดพระตะบองวินิจฉัยว่า  จำเลยที่ ๑ ขายแต่สิทธิส่วนมฤดกที่จะได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา ๑๕๔๖ จำเลยที่ ๑ กับเด็กสมคบกันมาฟ้องร้องเอาเปรียบจำเลยอื่น ๆ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อเจ้ามฤดกตายแล้ว บรรดาทายาทก็เก็บค่าเช่าทรัพย์รายพิพาทแย่งกัน จำเลยที่ ๑ รับส่วนแบ่งในนามของตนและเด็กทั้งสอง เห็นว่าเด็กทั้งสองมีกรรมสิทธิในทรัพย์รายพิพาท เพราะได้ครอบครองมฤดกมาแล้ว  จำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจจะขายแทนเด็ก ขัดต่อ ป.ม.แพ่ง ฯ ม.๑๕๔๖ (๑)  แม้จะถือว่า เด็กมีเพียงทรัพย์สิทธิ์ จำเลยที่ ๑ ก็ทำสัญญาแทนไม่ได้ ขัดต่อมมาตรา ๑๕๔๖ (๔) ,(๖)  จึงพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอน
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
๑.  ที่จำเลยฎีกาว่า  ศาลสั่งทำลายสัญญาทั้งฉะบับไม่ถูกศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว เพราะสัญญาซื้อขายรายนี้แบ่งแยกเป็นตอน ๆ ไม่ได้  ในกรณี่ที่จำเลยที่ ๑ ต้องผูกพันกับผู้ซื้อเพียงไร ก็คงมีอยู่ตามกฎหมาย
๒.  ที่จำเลยว่าซื้อโดยสุจริต ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๑ เอาทรัพย์ของเด็กไปขายไม่ได้  ฉะนั้นสัญญาจึงไม่ผูกพันเด็ก จึงพิพากษายืน

