แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 288 นั้นการร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ ต้องเป็นกรณีที่กล่าวอ้างว่า ลูกหนี้ตามคำพิพากษามิใช่เจ้าของทรัพย์สินที่ยึด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นอยู่ด้วย ศาลต้องยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอให้ปล่อยการยึดเสีย เพราะกรรมสิทธิของเจ้าของร่วม แต่ละคนย่อมครอบไปเหนือทรัพย์สินทั้งหมด จนกว่าจะมีการแบ่ง ผู้ร้องมีทางที่จะเรียกร้องขอแบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของรวมได้ในทางการบังคับคดี ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 287.
ย่อยาว
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินกู้ให้แก่โจทก์ โจทก์นำยึดที่นาอ้างว่าเป็นของจำเลย นายพรผู้ร้อง, ร้องว่า ที่นาที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องผู้เดียว โดยผู้ร้องขอให้ศาลปล่อยการยึด ศาลชั้นต้นฟังว่านารายนี้เป็นมฤดกนางหมา แต่จำเลยกับผู้ร้อง และนางสาวพิม นางสาวจันทร์ผู้รับมฤดกร่วมกัยงไม่ได้แบ่ง จึงสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อนานั้นผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย ผู้ร้องย่อมมีสิทธิร้องคัดค้านในส่วนที่เป็นของตนได้ พิพากษากลับว่า โจทก์จะบังคับการชำระหนี้รายนี้ที่เป็นส่วนของผู้ร้องไม่ได้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา ๒๘๘ นั้น การร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ต้องเป็นกรณีที่กล่าวอ้างว่า ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่ยึด แต่คดีนี้ปรากฎว่า ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นอยู่ด้วย ศาลก็ต้องยกคำร้องของผู้ร้องเสีย เพราะกรรมสิทธิของเจ้าของรวมแต่ละคนนั้น ย่อมครอบไปเหนือทรัพย์สินทั้งหมด จนกว่าจะมีการแบ่ง ผู้ร้องย่อมมีทางที่จะเรียกขอให้แบ่งตามส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของรวมได้ในทางบังคับคดี ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา ๒๘๗
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องตามศาลชั้นต้น แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิในการเรียกขอให้แบ่งทรัพย์สินของผู้ร้องหรือเจ้าของรวมอื่นใด ที่จะดำเนินต่อการบังคับคดีจากทรัพย์สินที่ยึดนั้น