คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1706/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยจากที่ดินของโจทก์และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ให้บริษัทมิตซุย ฯ ซึ่งเป็นชนชาติญี่ปุ่นเช่าที่ดินปลูกโกดัง โดยมีสัญญาว่าสิ่งปลูกสร้างนี้เป็นของบริษัทมิตซุย ฯ บริษัทรื้อถอนไปได้ และเมื่อประเทศญี่ปุ่นแพ้สงคราม สิ่งปลูกสร้างนี้ตกอยู่ในความครอบครองดูแลของ ก.ท.ส. โดยอำนาจแห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกักคุมตัวและควบคุมจัดการ ฯลฯ และจำเลยรับว่า ต่อมาสหประชาชาติได้ขายเลหลังโกดังหมายเลข 1,2,8,9 บนที่ดินพิพาทโดยโจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อได้ แต่จำเลยยังเถียงว่าสหประชาชาติไม่มีอำนาจขายดังนี้ ถ้าหากเป็นจริงดังข้อเถียงของจำเลย โจทก์ก็ไม่ใช่เจ้าของโกดัง จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดฐานละเมิดในการใช้โกดังนั้นต่อโจทก์
ฉะนั้นการที่ศาลล่างชี้ขาดปัญหาเบื้องต้นตามมาตรา 24 ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าโกดังหมายเลข 1,2,8,9 เป็นของโจทก์จึงไม่ชอบ
ส่วนปัญหาเกี่ยวกับที่ดินนั้น จำเลยไม่ได้แสดงว่ามีสิทธอย่างไร การห้ามจำเลยไม่ให้ใช้ที่ดินจึงเป็นการชอบแล้ว
ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลล่างโดยให้ยกคำชี้ขาดบางข้อเสียแล้ว ให้ดำเนินการพิจารณาใหม่ ส่วนนอกนั้นยืนตามได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าตัวแทนและพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้เข้ายึดครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ โดยมิได้รับความยินยอมของโจทก์ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ได้ให้บริษัทมิตซุยฯ จำกัดเช่าที่ดินรายนี้ปลูกสร้างโกดัง โดยมีสัญญาว่าสิ่งปลูกสร้างเหนือพื้นดินที่เช่าเป็นของบริษัทมิตซุยฯ บริษัทรื้อถอนไปได้ เมื่อประเทศญี่ปุ่นแพ้สงครามแล้ว มี พ.ร.บ.ว่าด้วยการกักคุมตัวและควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นสัตรูต่อสหประชาชาติ และมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๔๘๘ ระบุว่า ชนชาติญี่ปุ่นเป็นสัตรูต่อสหประชาชาติ สิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจึงตกอยู่ในความครอบครองดูแลของคณะกรรมการ เรียกว่า ก.ท.ส. จำเลยได้ยืมโกดังหมายเลข ๑-๒ และ ๘-๙ จาก ก.ท.ส. จำเลยรับว่า สหประชาชาติได้จัดการขายเลหลังโกดังหมายเลข ๑,๒,๘,๙ โดยโจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อได้ แต่การที่สหประชาชาติจัดการขายเลหลังนั้น ไม่มีสิทธิจะทำได้ โจทก์ผู้ประมูลได้ไม่มีสิทธิในทรัพย์สินนั้น
ศาลชั้นต้นได้เรียกคณะกรรมการ ก.ท.ส. เข้าเป็นจำเลยด้วย คณะกรรมการ ก.ท.ส. ให้การว่า โกดังดังกล่าว สหประชาชาติได้ยึดครองไว้ก่อน ต่อมาได้ตกอยู่ในความยึดครองของ ก.ท.ส. ชั่วขณะหนึ่ง ครั้นแล้วฝ่ายสหประชาชาติได้ขายโกดังไป เมื่อขายแล้ว ก.ท.ส. ก็ไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องต่อไป ที่จำเลยว่ายืมโกดังจาก ก.ท.ส.นั้น หมายความเพียงว่าตราบเท่าเวลาที่ทรัพย์นั้นอยู่ในความครอบครองของ ก.ท.ส.
โจทก์ขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา ๒๔ ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลแพ่งจึงมีคำสั่งชี้ขาดว่า โกดังหมายเลข ๑,๒,๘,๙ จำเลยรับแล้วว่าไม่ใช่ของจำเลย เป็นโกดังที่โจทก์ซื้อไว้จากสหประชาชาติ จำเลยเข้าใช้โกดังนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมของโจทก์ จำเลยอาศัยสิทธิของ ก.ท.ส. ขึ้นต่อสู้คดี แต่ ก.ท.ส. ปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเช่นนี้ ฟังได้ว่าโกดังหมายเลข ๑,๒,๘ และ ๙ เป็นของโจทก์ จึงห้ามมิให้จำเลยใช้ที่ดินและทรัพย์พิพาทตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อต่อสู้ของจำเลยดังกล่าวข้างต้น จำเลยต่อสู้อยู่ว่าโจทก์ซื้อโกดังจากบุคคลผู้ไม่มีอำนาจขาย ซึ่งถ้าเป็นจริงดังข้อต่อสู้ของจำเลย โจทก์ก็ไม่ใช่เจ้าของโกดัง จำเลยย่อมไม่ต้องรับผิดฐานละเมิดในการใช้โกดังนั้นต่อโจทก์ ส่วนข้อที่ ก.ท.ส. ให้การว่าไม่เกี่ยวข้องกับโกดังรายนี้ก็ไม่เป็นเหตุที่จะให้ฟังว่าโจทก์มีสิทธิในทรัพย์สินรายนี้ ฉะนั้นที่ศาลล่างชี้ขาดว่าโกดังเป็นของโจทก์ยังไม่เห็นพ้องด้วย ส่วนข้อที่ขอให้ขับไล่จากที่ดินนั้น จำเลยมิได้แสดงว่ามีสิทธิจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินได้อย่างไร ที่ศาลล่างห้ามมิให้จำเลยใช้ที่ดินของโจทก์จึงเป็นการชอบแล้ว
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลล่างให้ยกคำชี้ขาดที่ว่าโกดังหมายเลข ๑-๒ และ ๘-๙ เป็นของโจทก์นั้นเสีย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาในประเด็นข้อนี้ต่อไป นอกนั้นยืน ค่าธรรมเนียมเป็นพับไป

Share