แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรนีที่ถือว่าบันยายฟ้องเปนความผิดถานฉ้อโกง
บันยายฟ้องเปนความผิดถานฉ้อโกง สาลจะลงโทษถานยักยอกไม่ได้
ย่อยาว
โจทฟ้องกล่าวว่าจำเลยได้ไช้อุบายหลอกลวงเอาความเท็ดมาแจ้งแก่นางอินว่าจำเลยจะขอรับเงินไปไถ่ของที่จำนำมาคืนไห้ โดยเจตนาทุจริตหลอกลวงไห้นางอินหลงเชื่อจึงมอบเงิน ๕ บาท เพื่อไห้จำเลยไปไถ่คืน และไนวันนั้นจำเลยมาขอรับเงินคืนอีก ๑๒ บาท ว่าจะนำไปไถ่ทรัพย์ของจำเลยแล้วจะนำมาจำนำนางอิน ๆ จึงมอบเงิน ๑๒ บาทไห้จำเลยไปอีก แล้วจำเลยบังอาดมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาเงินทั้ง ๒ จำเลยที่ได้รับมอบไปเปนประโยชน์ส่วนตัวเสีย
สาลชั้นต้นพิจารนาแล้วพิพากสายกฟ้องโจท
โจทอุธรน์ สาลอุธรน์พิพากสาแก้ว่า สำหรับเงินราย ๑๘ บาท จำเลยมีความผิดตามมาตรา ๕๐๔ จำคุก ๑๕ วัน
โจทดีกา แต่ฉะเพาะเรื่องเงิน ๕ บาท โดยโจทเห็นพ้องด้วยข้อวินิฉัยของสาลอุธรน์ว่าเงินรายนี้ลักสนะความผิดไม่เปนถานฉ้อโกง แต่ตามรูปคดีเปนเรื่องยักยอกซึ่งโจทได้บันยายมาไนฟ้องและขอไห้ลงโทสตามมาตรา ๓๑๔ ด้วย สาลดีกาเห็นว่าข้อความที่โจทกล่าวไนฟ้องสำหรับเงินราย ๕ บาทนั้น เห็นได้ว่าโจทฟ้องจำเลยไนถานฉ้อโกงหาไช่ถานยักยอกไม่เมื่อโจทกล่าวรวม ๆ กันเช่นนี้ ก็ต้องดูไจความเปนไหย่ เพราะความผิดถานฉ้อโกงกับถานยักยอกนั้น แตกต่างกัน ทั้งโจทมิได้กล่าวมาไนฟ้องไห้ชัดว่า ประสงค์จะฟ้องทั้ง ๒ ถาน เมื่อโจทฟ้องจำเลยถานประสงค์จะฟ้องทั้ง ๒ ถาน เมื่อโจทฟ้องจำเลยถานฉ้อโกงแล้วจะมาขอไห้ลงโทสถานยักยอกนั้นหาได้ไม่ จึงพิพากสายืน