คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 645/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ว่าคดีฟ้องด้วยวาจาว่า ” เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2506 เวลากลางวัน จำเลยได้ลักลอบนำธนบัตรเข้าไปในเรือนจำและมีไว้ในครอบครอง 580 บาท ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 มาตรา 37, 39, 45 วรรค 3 และริบของกลาง ฯลฯ” โดยไม่ได้แจ้งข้อความต่อศาลว่า “เป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำ” ด้วยนั้น ก็เป็นฟ้องที่ครบบริบูรร์แล้ว เพราะกิริยา “ลักลอบ” หมายถึงการนำธนบัตรเข้าไปในเรือนจำเป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำ อันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดได้ทั้ง 2 กรณี
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 29/2507)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องด้วยวาจา ศาลแขวงพระนครเหนือบันทึกคำฟ้องไว้ว่า “เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๐๖ เวลากลางวันจำเลยได้ลักลอบนำธนบัตรเข้าไปในเรือนจำ และมีไว้ในครอบครอง ๕๘๐ บาท ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.๒๔๗๙ มาตรา ๓๗, ๓๙, ๔๕ วรรค ๓ รับเงินของกลาง”
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลแขวงพระนครเหนือลงโทษ จำคุก ๒ เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้องคืนของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.๒๔๗๙ มาตรา ๔๕ คดีมีปัญหาว่า คำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์มีเพียงเท่าที่ศาลบันทึกใจความไว้โดยโจทก์ไม่ได้แจ้งข้อความต่อศาลว่า “เป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำ” ด้วย ดังนี้ จะเป็นฟ้องที่สมบูรณ์หรือไม่ ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คำฟ้องด้วยวาจาที่แจ้งต่อศาล ศาลบันทึกใจความไว้ว่า “จำเลยได้ลักลอบนำธนบัตรเข้าไปในเรือนจำและมีไว้ในความครอบครอง ๕๘๐ บาท” นั้น กิริยา “ลักลอบ” หมายความถึง การนำธนบัตรเข้าไปในเรือนจำเป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบ หรือข้อบังคับของเรือนจำ อันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดได้ทั้งสองกรณี คำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์จึงครบบริบูรณ์ที่จะลงโทษจำเลยได้แล้ว พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share