คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 514/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยสรุปใจความได้ว่า จำเลยไม่เคยร่วมออกเงินปลูกสร้างตึกลงในที่ดินที่เช่า ความจริงจำเลยว่าจ้างโจทก์สร้างบ้านให้จำเลย และจำเลยไม่เคยตกลงให้โจทก์เช่าบ้าน สัญญาเช่าท้ายฟ้อง เกิดจากจำเลยถูกโจทก์ใช้อุบายหลอกลวงว่าโจทก์จะนำไปใช้แสดงต่อบุคคลภายนอกเพื่อให้เชื่อถือ โดยจำเลยมิได้รับเงิน 10,000 บาทตามสัญญา สัญญาเกิดจากการแสดงเจตนาลวง เป็นโมฆะ ถ้าจำเลยได้เข้ามาต่อสู้คดีก็มีทางชนะคดีได้ ข้อความดังกล่าวจึงเป็นข้อที่คัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้น โดยยกเหตุผลขึ้นประกอบโดยละเอียดและชัดแจ้ง ซึ่งถ้าจำเลยนำสืบฟังได้เช่นนั้น จำเลยย่อมชนะคดีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยร่วมกันออกเงินปลูกสร้างตึกชั้นเดียวในที่ดินที่เช่าจากวัด โจทก์มีสิทธิเช่าตึกจำนวน ๑ คูหา โดยถือว่าเงินส่วนหนึ่งที่โจทก์ลงทุนร่วมสร้างเป็นเงินค่าเช่า ๑๐,๐๐๐ บาท และโจทก์มีสิทธิอยู่ได้ตลอดอายุการเช่าที่ดินจากวัดโดยไม่ต้องเสียค่าเช่าตึก ได้ทำหนังสือสัญญาเช่าต่อกัน ครั้นโจทก์จะเข้าไปอยู่จำเลยไม่ยอม จึงขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน ๑๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ว่า จำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ตามฟ้อง ความจริงจำเลยอยู่ที่บ้านไม่มีเลขที่ ซึ่งอยู่ด้านหลังของบ้านเลขที่ตามฟ้อง โจทก์ทราบดี ที่โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาส่งหมายเรียกจำเลยจึงไม่ทราบ ไม่มีโอกาสต่อสู้คดี จำเลยมิได้จงใจขาดนัด ถ้าจำเลยได้เข้ามาต่อสู้คดีก็มีทางชนะคดีได้ เพราะความจริงจำเลยได้ว่าจ้างโจทก์สร้างบ้าน ๑ หลังลงในที่ดินที่เช่าจากวัด โจทก์ไม่ได้ร่วมออกเงินปลูกสร้าง จำเลยไม่เคยตกลงให้โจทก์เช่าบ้าน โจทก์ใช้อุบายหลอกลวงให้จำเลยลงนามในสัญญาเช่าซึ่งมีข้อความระบุว่าจำเลยได้รับเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทจากโจทก์ โดยโจทก์อ้างว่าเพื่อแสดงต่อบุคคลภายนอกให้เชื่อถือ นิติกรรมเป็นโมฆะ จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องเมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลย
โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า จำเลยประวิงคดี คำขอของจำเลยไม่มีเหตุผลพอที่จะให้พิจารณาคดีใหม่ สัญญาเช่ามีผลบังคับได้ตามกฎหมาย การส่งหมายเรียกได้กระทำโดยชอบและจำเลยทราบถึงการถูกฟ้องแล้ว
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริง และวินิจฉัยว่าการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงให้เป็นการไม่ชอบและวินิจฉัยปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า เมื่อพิจารณาคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยแล้ว เห็นว่าจำเลยบรรยายสรุปใจความได้ว่า จำเลยไม่เคยร่วมออกเงินปลูกสร้างตึกลงในที่ดินที่เช่าจากวัดบางประทุนนอก ความจริงจำเลยว่าจ้างโจทก์สร้างบ้าน ๑ หลังให้จำเลยและจำเลยไม่เคยตกลงให้โจทก์เช่าบ้าน สัญญาเช่าท้ายฟ้องเกิดจากจำเลยถูกโจทก์ใช้อุบายหลอกลวงว่า โจทก์จะนำไปใช้แสดงต่อบุคคลภายนอกเพื่อให้เชื่อถือ โดยจำเลยมิได้รับเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญานั้นจริงจัง สัญญาเกิดจากการแสดงเจตนาลวง เป็นโมฆะ ถ้าจำเลยได้เข้ามาต่อสู้คดีก็มีทางชนะคดีได้ ข้อความดังกล่าวจึงเป็นข้อที่คัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้น โดยยกเหตุผลขึ้นประกอบโดยละเอียดและชัดแจ้ง ซึ่งถ้าจำเลยนำสืบฟังได้เช่นนั้น จำเลยย่อมชนะคดีโจทก์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้างนำมาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ วรรคสอง แล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่วินิจฉัยว่าจำเลยไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ส่วนในเรื่องที่ขอให้พิจารณาคดีใหม่คงพิพากษายืน

Share