แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมจดทะเบียนจำนองที่ไว้แก่เขา ภายหลังตกลงเปลี่ยนเป็นทำสัญญาทะเบียนขายฝาก ดังนี้ เป็นการแปลงหนี้จำนองเดิมเป็นขายฝาก สัญญาจำนองเดิมเป็นอันระงับสิ้นไปในตัว บังคับตามสัญญาขายฝากได้โดยไม่จำต้องจดทะเบียนเพิกถอนสัญญาจำนองเดิมเสียก่อน
การตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยที่ค้างอยู่กว่า 5 ปี ตามสัญญาจำนองมาคิดรวมเป็นต้นเงินในสัญญาขายฝาก+ขึ้นใหม่นั้นก็หาต้องห้ามตามกฏหมายไม่
ย่อยาว
ได้ความว่า เดิมโจทก์ได้จดทะเบียนจำนองที่พิพาทไว้แก่จำเลยเป็นเงิน ๒๐๐ บาท ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี แล้วจำเลยได้เช่าที่จำนองนี้ส่วนหนึ่งปลูกเรือนอยู่ ต่อมาทั้งสองฝ่ายได้ตกลงแปลงหนี้จำนองเดิมเป็นจดทะเบียนขายฝากโดยต้องเพิ่มต้นเงินขึ้นอีก ๑๖๐ บาท รวมเป็นต้นเงิน ๓๖๐ บาท ต้นเงินที่เพิ่มขึ้นนี้ โจทก์ยอมให้คิดจากดอกเบี้ยจำนองเดิมที่ค้างอยู่กว่า ๕ ปีแล้ว ตามสัญญาขายฝากกำหนดเวลาไถ่ถอนไว้ ๒ ปี ครบกำหนดโจทก์ไม่ไถ่คืน จำเลยจึงเอาที่เป็นสิทธิ ส่วนค่าเช่าเดิมครั้งยังจำนองอยู่ จำเลยได้ชำระให้โจทก์ไปเสร็จแล้ว
บัดนี้โจทก์มาฟ้องขอให้ทำลายสัญญาขายฝาก อ้างว่าถูกกลฉ้อฉล
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การขายฝากทำกันโดยสุจริต พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาข้อกฏหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์ได้ตกลงเปลี่ยนเป็นทำสัญญาจดทะเบียนขายฝากให้แก่จำเลยแล้ว ก็เป็นการแปลงหนี้จำนองเดิมเป็นขายฝาก สัญญาจำนองเดิมเป็นอันระงับสิ้นไปในตัว บังคับตามสัญญาขายฝากได้โดยไม่จำต้องจดทะเบียนเพิกถอนสัญญาจำนองเดิมเสียก่อน และการที่ตกลงเอาดอกเบี้ยที่ค้างอยู่กว่า ๕ ปี มาคิดรวมเป็นต้นเงินในสัญญาขายฝากด้วยนั้น ก็หาต้องห้ามตามกฏหมายไม่ จึงพิพากษายืน.