แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องหาว่าจำเลยได้สมคบกันพยายามจะก่อการกบถโดยจะกระทำการประทุษฐร้ายเพื่อทำลายรัฐบาล  ฯลฯ  ระหว่างวันที่  1  มีนาคม  2491  เวลาใดไม่ปรากฎถึง  วันที่  2  ตุลาคม  ปีเดียวกันเวลากลางวัน  ฯลฯ  ดังนี้  ถือได้ว่าเป็นฟ้องที่ระบุวันเวลาจำกัดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้แล้ว  กฎหมายหาได้บังคับให้แยกเป็นเวลา  เป็นรายตัวบุคคลไม่  และไม่จำเป็นต้องแยกว่า  จำเลยคนใดกระทำผิดอย่างใด  เมื่อได้บรรยายการกระทำผิดมาพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว  ก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์
การล้มล้างรัฐบาลเก่า  ตั้งเป็นรัฐบาลขึ้นใหม่โดยใช้กำลังนั้น  ในตอนต้นอาจไม่ชอบด้วยกฎหมายจนกว่าประชาชนจะได้ยอมรับนับถือแล้ว  เมื่อเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามความเป็นจริงคือหมายความว่า  ประชาชนได้ยอมรับนับถือแล้ว  ผู้ก่อการกบถล้มล้างรัฐบาลดั่งกล่าวก็ต้องเป็นผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา  102
ย่อยาว
คดี  ๒  สำนวนนี้พิจารณารวมกัน  โจทก์ฟ้องต้องกันว่าระหว่างวันที่  ๑  มีนาคม  ๒๔๙๑  เวลาใดไม่ปรากฎถึงวันที่  ๒  ตุลาคมปีเดียวกันเวลากลางวัน  จำเลยได้บังอาจสมคบกันพยายามจะก่อการกบถฯลฯ  ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา  ๑๐๑ – ๑๐๒ – ๑๐๓ – ๑๐๔
จำเลยทุกคนปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นชี้ขาดว่า  พันเอกกิตติ  ทัตตานนท์  พันโทประสพ ฐิติวร  ร้อยโทบัญช่วย  ศรีทองเกิด  พันเอกหลวงจิตรโยธี  พันเอกหลวงศรีสิงหสงคราม  พันตรีชิน  หงษ์รัตน์  ร้อยเอกหิรัญ  สมัครเสวี  ร้อยเอกสุรพันธ์  อิงคุลานนท์  และพลตรีเนตร  เขมะโยธิน จำเลยรวม  ๙  คน  ได้พยายามก่อการกบถเพื่อล้มล้างรัฐบาลอันมีจอมพลแปลก  พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีจริงดังฟ้อง  พิพากษาว่าจำเลยทั้ง  ๙  มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา  ๑๐๒  ตอนต้น  ให้จำคุกคนละ  ๓  ปี  ข้อหานอกนี้ให้ยกเสีย  จำเลยอีก  ๑๓  คนให้ยกฟ้อง
โจทก์  และจำเลยที่ต้องโทษอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ต้องโทษฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า  คดี  ๒  สำนวนนี้โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยได้สมคบกันพยายามก่อการกบถระหว่างวันที่  ๑  มีนาคม  ๒๔๙๑  เวลาใดไม่ปรากฎถึงวันที่  ๒  ตุลาคม  ปีเดียวกัน  เวลากลางวัน  ดังนี้ย่อมเป็นวันเวลาจำกัดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว  กฎหมายหาได้บังคับให้แยกเป็นเวลา  เป็นรายตัวบุคคลไม่  และไม่จำเป็นต้องแยกว่าจำเลยคนใดกระทำผิดอย่างใด
สำหรับปัญหาที่ว่า รัฐบาลที่จำเลยพยายามจะล้มล้างเป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น  เห็นว่าการล้มล้างรัฐบาลเก่าตั้งเป็นรัฐบาลใหม่ขึ้นโดยใช้กำลังนั้น  ในตอนต้นอาจไม่ชอบด้วยกฎหมายจนกว่าประชาชนจะได้ยอมรับนับถือแล้ว  คดี  ๒  สำนวนนี้ศาลอาญาฟังข้อเท็จจริงว่า  รัฐบาลที่จำเลยคิดล้มล้างเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามความเป็นจริง  ซึ่งหมายความว่า  ประชาชนได้ยอมรับนับถือแล้ว  และศาลอุทธรณ์ก็มิได้แก้ไขฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อ  ๓  แม้จอมพลแปลก  พิบูลสงครามจะเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนเมษายน  ๒๔๙๑  ภายหลังวันที่  ๑  มีนาคม  ๒๔๙๑  และการกระทำของจำเลยสิ้นสุดลงในคืนวันที่  ๑  กับวันที่  ๒  ตุลาคม  ๒๔๙๑  ติดต่อกัน  ไม่ถึงวันที่  ๒  ตุลาคม  ๒๔๙๑  เวลากลางวันก็ดี  ทั้ง  ๒  ประการนี้เป็นเพียงโจทก์กล่าวข้อความในฟ้องเกินไปเท่านั้น  ส่วนสาระสำคัญคงถูกต้องว่า  ระหว่างวันเวลาที่จำเลยสมคบกันกระทำผิดนั้นมีจอมพลแปลก  พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่จริง  คำฟ้องที่เกินเลยไปไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์ถึงกับเสีย
ฯลฯ
จึงพิพากษายืน  ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย

