คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1184/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภรรยาเอาที่ดินอันเป็นสินบริคณห์ไปขาย ผู้ซื้อรับซื้อไว้แล้วไปขายต่ออีกทีหนึ่งโดยทำนิติกรรมซื้อขายกันที่อำเภอทั้งสองครั้งเมื่อการซื้อขายครั้งที่ 2 เป็นไปโดยสุจริตแล้ว ผู้รับซื้อย่อมได้กรรมสิทธิในที่ดินนั้น สามีผู้ขายจะมาขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างผู้รับซื้อคนแรกกับผู้รับซื้อคนหลังไม่ได้และจะเรียกเอาที่ดิน กลับคืนก็ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่านางสำลี ภรรยาโจทก์ได้ขายที่ดินแปลงหนึ่งอันเป็นสินบริคณห์ให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมอนุญาต เป็นราคา ๒๓๐๐ บาท ต่อมาอีก ๑ เดือน ๑๗ วัน จำเลยที่ ๑ ได้รีบขายที่ดินนั้นให้จำเลยที่ ๒ เป็นราคา ๒๔๐๐ บาท โดยไม่สุจริต โจทก์เพิ่งทราบเรื่องจึงบอกจำเลยที่ ๑ ขอเลิกการซื้อขายที่ภรรยาโจทก์ทำกับจำเลยที่ ๑ ๆ ไม่จัดการเลิกให้ จึงฟ้องขอให้ศาลแสดงว่า การซื้อขายที่ดินทั้งสองครั้งเป็นโมฆะ ให้ที่ดินกลับคืนมาเป็นสินบริคณห์ของโจทก์กับนางสำลีตามเดิม โดยให้จำเลยที่ ๑ รับเงินจากโจทก์อันเป็นราคาที่ดิน ๒๓๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์รู้เห็นตอนขายด้วย จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์กับให้ขับไล่โจทก์กับบริวาร ตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๒
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ซื้อที่ดินพิพาทไว้จากภรรยาโจทก์ราคา ๒๓๐๐ บาท ต่อมาจำเลยที่ ๑ ขายให้จำเลยที่ ๒ ราคา ๒๔๐๐ บาท ทำนิติกรรมซื้อขายต่อกันที่กรมการอำเภอทั้งสองครั้ง จำเลยที่ ๒ รับซื้อไว้โดยสุจริตที่พิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิของจำเลยที่ ๒ โจทก์จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองและเรียกเอาที่ดินกลับคืนไม่ได้
พิพากษายืน

Share