คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 556/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความพิพาทกันในกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษาเด็ดขาดไปแล้วว่า ทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีก่อนและเป็นฝ่ายแพ้คดีกลับมาฟ้องจำเลยในคดีนี้ขึ้นใหม่อ้างว่า คำพิพากษาศาลฎีกาไม่ถูกต้องด้วยประการต่าง ๆ นั้น เป็นการรื้อร้องฟ้องใหม่ซึ่งประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน
คารมที่คู่ความยกขึ้นอ้างเป็นข้อเถียงข้อแย้งนั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นประเด็นแห่งคดีเสมอไป
ฟ้องไม่ระบุว่าทรัพย์เป็นอะไร อยู่ที่ไหน คำขอแต่เพียงว่า “ให้แบ่งมรดกของนายแกรนอกพินัยกรรมทั้งหมด ถ้าหากมีให้โจทก์ตามส่วนที่ควรได้ตามกฎหมายนั้น” ไม่เป็นฟ้องที่จะรับไว้พิจารณา
เมื่อผู้ร้องสอดมิได้เป็นคู่ความกับโจทก์จำเลยในคดีก่อนแม้ศาลจะได้พิพากษาชี้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ว่าเป็นของจำเลยก็ดี จำเลยจะนำไปใช้ยันกับผู้ร้องสอดซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแห่งดคีเดิมนั้นไม่ได้ ถ้าผู้ร้องสอดมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักว่าตนมีสิทธิดีกว่าจำเลย
เมื่อกรณีพิพาทระหว่งโจทก์จำเลยคงมีแต่เรื่องอื่น อันไม่เกี่ยวกับปัญหาที่ผู้ร้องสอด ร้องสอดแล้วสิทธิของผู้ร้องสอด จึงยังไม่เกี่ยวเนื่องกับคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดี ผู้ร้องสอดชอบที่แยกคดีไปฟ้องร้องว่ากล่าวเป็นอีกคดีหนึ่ง

ย่อยาว

เรื่อง เรียกทรัพย์มรดกและขอแบ่ง กับค่าทำศพ
คดีนี้โจทก์ฟ้องและร้องเพิ่มเติมว่า เพิ่มเติมว่า เดิมนางน้อย นายกรี นิ่มฮ้อ ฟ้องเรียกโรงเรือนและที่ดิน ๒๙ รายกับค่าเช่าอีกเดือนละ ๓๐๑.๕๐ บาท จากโจทก์ตามสำนวนคดีแพ่งแดงของศาลจังหวัดนครสวรรค์ที่ ๑๘๙/๒๔๙๓ โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์มฤดกของนายแกร และเป็นสินสมสรของนางน้อย โจทก์ต่อสู้ว่า ฟ้องของจำเลยเคลือบคลุม ทรัพย์ที่ฟ้องเป็นของนายแกรก็มี ของคนอื่นก็มี ส่วนที่เป็นของนายแกร ๆ ได้ทำพินัยกรรมยกให้โจทก์หมด ไม่มีสินสมรสของนางน้อยเลย ทรัพย์นอกนั้นเป็นของนางลัล ทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ถ้าศาลฟังว่า เป็นทรัพย์ของนายแกร โจทก์ก็ถือสิทธิตามที่นายแกร ทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ แต่ศาลฎีกาเข้าใจว่า มีประเด็นเท่าที่ตกลงกันในวันชี้สองสถานเพียง ๓ ข้อ เท่านั้น คือมีประเด็นว่า
๑. นางน้อย และนายกรี เป็นภรรยาและบุตรของนายแกร โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
๒. ทรัพย์ตามบัญชีหมายเลข ๑,๒,๓ เป็นทรัพย์ของนางลับทำพินัยกรรมยกให้โจทก์หรือไม่
๓. ทรัพย์ตามบัญชีหมายเลข ๔ เป็นของนายแกร ทำพินัยกรรมยกให้โจทก์หรือไม่
ศาลฎีกาฟังว่า นางน้อยและนายกรเป็นภรรยาและบุตรของนายแกรและทรัพย์หมายเลข ๑,๒,๓ เป็นมฤดกของนายแกร ทรัพย์หมายเลข ๔ ไม่ได้อยู่ในความหมาย+พินัยกรรมที่นายแกร ทำยกทรัพย์ให้โจทก์ เป็นการยอมรับฟังพยานบุคคลมาเปลี่ยนแปลงแก้ไขพินัยกรรมขัดต่อ ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๔๔ +และวินิจฉัยเลยไปถึงว่านางน้อยมีสินสมรส+ค่าเช่าทั้งหมดเป็นของนางน้อยโดยไม่+ว่า อาศัยหลักเกณฑือะไร เป็นการ++ไม่ชอบด้วย ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๑๔๑(๔)+ วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวโดยถูกต้อง และ+วินิจฉัยในประเด็นต่าง ๆ อีก ๑๓ ประเด็น+เพิกถอนคำพิพากษา ฎีกาในคดีเร่องนั้นเสีย +ไม่ได้ ก็ขอให้ศาลพิพากษาว่า คำพิพากษา+เรื่องนั้น ไม่ผูกพันโจทก์ โดยไม่ตัดสิทธิตามฟ้องเป็นคดนใหม่ หรือถ้าเป็นไปไม่ได้ก็ขอ+โจทก์ในข้อที่ขัดแย้งกับคำพิพากษาในคดี+โจทก์ได้รับมฤดกตามพินัยกรรมของนายแกร พฤษภาคม ๒๔๘๖ ซึ่งได้ยกที่ดินตามบัญชี+ให้โจทก์ที่ ๑ ผู้เดียว พร้องด้วยห้อง+และค่าเช่าเดือนละ ๗๐ บาท ตั้งแต่เดือน + ๒๔๙๘ ถึงวันฟ้อง- จนกว่าคดีถึงที่สุด และ+บัญชีทรัพย์หมายเลข ๒,๓,๔ พร้อมด้วย+หรือสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ทั้ง ๔ คน + ๑๗,๔๙๓ บาท และค่าเช่าตั้งแต่วันฟ้อง+ที่สุด ให้แบ่งมฤดกของนายแกรนอกพินัยกรรม ถ้าหากมี ให้โจทก์ที่ ๑,๒ ในฐานะบุตร+ตามส่วนที่ควรได้ตามกฎหมาย และให้+นายแกร-ให้โจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน ๔๔,๗++ และชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ใน+เงินดังกล่าว และขอให้สั่งว่าโจทก์มีสิทธิ+ในทรัพย์รายพิพาทจนกว่าจะได้รับชำระหนี้+
จำเลย ให้การและร้องแก้ไขเพิ่มเติมสรุปว่า โจทก์จะกลับมาฟ้องร้องเป็นคดีขึ้นใหม่ไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๑๔๘ และว่าในคดีแดงที่ + นั้น ศาลฎีกาได้วินิจฉัยครบถ้วนทุกประเด็นแล้ว คำพิพากษาย่อมผูกพันโจทก์ ซึ่ง+ในคดีดังกล่าว
ที่โจทก์ที่ ๑,๒ ว่าเป็นบุตรบุญธรรมของนายแกร-มีสิทธิขอแบ่งมฤดกทรัพย์นอกพินัยกรรมนั้น นายแกร-ไม่ได้รับรอง แม้เป็นบุตรบุญธรรมจริง ก็มิได้อ้างขอรับมฤดก ทั้งขาดอายุความ
เรื่องค่าทำศพเป็นคนละเรื่อง จะฟ้องรวมมาไม่ได้พินัยกรรมที่โจทก์อ้างว่าเกิดอำนาจจัดการศพนายแกรนั้น จำเลยก็กล่าวอ้างแล้วว่าเป็นพินัยกรรมปลอม รายการที่จ่ายในการทำศพก็ไม่เป็นความจริง ที่โจทก์ที่ ๓ เข้าครอบครองทรัพย์มฤดกของนายแกรส่วนหนึ่งไว้นั้น เป็นการไม่ชอบ จึงไม่มีสิทธิยึดและขอหักหนี้ได้
ต่อมานางสำราญอักษณ สุขลักษณะ ร้องสอดเข้ามาว่า เดิมที่ดินหมายเลข ๑ เป็นของนางลับ ทำพินัยกรรมนี้ให้โจทก์ที่ ๒,๓,๔ ต่อมานายแกร ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์รายเดียวกันนั้นให้โจทก์ที่ ๑ อีกด้วย ต่อมาสามีผู้ร้องได้ปลูกห้องแถวลงในที่รายนี้ ๓ ห้อง และในที่ตรงกันข้าม ๔ ห้อง ผู้ร้องปกครองทรัพย์รายนี้ตลอดมา ครั้งนายแกรตายลง จำเลยได้ฟ้องโจทก์เรียกทรัยพ์มฤดกนายแกรผู้ร้องมิได้เป็นคู่ความด้วย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าห้องแถวพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับายแกร ตกทอดมายังจำเลย แต่ไม่ได้ความชัดว่าเป็นของจำเลย ๔ หรือ ๗ ห้อง จำเลยถือเอาว่าเป็นของจำเลยทั้ง ๗ ห้อง และเรียกเก็บค่าเช่าซึ่งผู้ร้องเห็นว่าไม่ชอบจึงขอให้ศาลแสดงว่า ห้องแถว ๔ หรือ ๗ ห้อง รวมทั้งค่าเช่าเป็นของผู้ร้อง
ศาลอนุญาตให้ร้องสอดได้ และจำเลยว่าห้องแถว ๗ ห้องเป็นของจำเลยกับนายแกรปลูกสร้างขึ้น ครั้งนายแกรตาย ห้องพิพาทตกเป็นของจำเลย อย่างไรก็ดี ทรัพย์หมายเลข ๑,๒,๓,๔ ได้มีการลพิพาทและศาลฎีกาพิพากษาเด็ดขาดถึงที่สุดไปแล้ว
จำเลยขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นว่า เป็นคดีฟ้องซ้ำ
ศาลจังหวัดนครสวรรค์มีคำสั่งว่า การที่นางสาวประเทืองกับพวกฟ้องนางน้อยนี้ ก็เพื่อให้ถอนคำพิพากษาคดีแดงที่ ๑๘๙/๒๔๙๓ โดยโจทก์อ้างว่าศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นไม่ครบถ้วน ทั้งนี้เพราะไม่ต้องการให้คำพิพากษาของศาลมีผลผูกพันทรัพย์ ๔ รายการ ที่ศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คำร้องสอดนางสำราญอักษร สุขลักษณะ ก็เกี่ยวกับทรัพย์ ๔ รายการ ซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษาถึงที่สุดแล้วเช่นกัน ที่โจทก์ที่ ๑,๒ ขอแบ่งมฤดกของนายแกร นอกพินัยกรรมนั้นก็ไม่ปรากฎว่าทรัพย์อะไรอยู่ที่ไหน ฟ้องเลื่อนลอย ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๑๔๘ จึงมีคำสั่งให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อที่ขอให้เพิกถอนคำพิพากษาและคำร้องสอดของนางสำราญ เสีย ให้พิจารณาแต่เฉพาะคำขอค่าทำศพข้อเดียว
โจทก์อุทธรณ์ว่า คำฟ้องเกี่ยวกับขอแบ่งทรัพย์นอกพินัยกรรมของนายแกรนั้นเมื่ออ่านฟ้องโดยตลอดแล้ว จะเข้าใจได้ว่าหมายถึงทรัพย์หมายเลข ๑,๒,๓,๔ นั้นเอง ส่วนที่ว่าเป็นฟ้องซ้ำนั้น โจทก์ได้ตั้งเป็นประเด็นขึ้นใหม่ ไม่มีประเด็นต่อสู้อย่างคดีเดิมเลย จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
นางสำราญผู้ร้องสอดอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน คำพิพากษาในคดีก่อนย่อมไม่ผูกพันผู้ร้องสอด
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า คดีสำหรับนางสำราญอักษร สุขลักษณะ ผู้ร้องสอด ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ให้ดำเนินการพิจารณาคดีระหว่างนางสำราญอักษร + ผู้ร้องสอดกับจำเลยต่อไป ค่าธรรมเนียมระหว่างผู้ร้องสอดกับจำเลยในชั้นนี้ + แพ้คดีในที่สุดเป็นผู้เสีย นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ฟ้องขอให้ศาลจังหวัดนครสวรรค์วินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่ศาลฏิกายังมิได้ วินิจฉัยไว้ในคดีเดิมประการหนึ่ง กับอีกประการที่+วินิจฉัยเฉพาะในประเด็นที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยในประเด็นที่ว่า ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ครบถ้วนกระบวนความ ตามรูปคดีแล้วหรือไม่ และที่ศาลฎีกาได้สันนิษฐานไว้นั้น เป็นการชอบด้วยกฎหมายทุกข้อทุกประเด็นแล้วหรือหาไม่ และคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นกฎหมายหรือไม่ ถ้าเป็น คำพิพากษาที่ไม่ชอบก็น่าจะไร้ผล
จำเลยฎีกาว่า ศาลควรจะยกคำร้องสอดของนางสำราญอักษร +เสียด้วย เช่นคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีนี้ได้มีการพิพาทกันในกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาท ซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษาเด็ดขาดไปแล้วว่า ทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลย ประเด็น+และหลังนี้ก็คือทรัพย์พิพาท จะเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร อาศัยเหตุอันเป็นที่มาแห่ง+กรรมสิทธิของฝ่ายไหนอย่างไร คารมที่คู่ความยกขึ้นอ้างเป็นข้อเถียงข้อแย้งนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นประเด็นแห่งคดีเสมอไป จึงให้ยกฎีกาโจทก์
สำหรับกรณีทรัพย์นอกพินัยกรรมของนายแกรนั้น ทรัพย์นั้นเป็นอะไร+โจทก์ไม่ได้ระบุกล่าวถึง คำขอแต่เพียงว่า “ให้แบ่งมฤดกของนายแกรนอกพินัยกรรมทั้งหมดถ้าหากมี ให้โจทก์ตามส่วนที่ควรได้ตามกฎหมายนั้น” หาเป็นฟ้องที่จะ+พิจารณาอย่างไรได้ไม่
ส่วนการร้องสอดนั้น เห็นว่าผู้ร้องสอดมิได้เป็นคู่ความกับโจทก์กับจำเลยคดีก่อน แม้ศาลจะได้พิพากษาชี้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ว่าเป็นของจำเลยก็ดี จำเลยใช้ยันกับผู้ร้องสอดซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแห่งคดีเดิมนั้นไม่ได้ ถ้าผู้ร้องสอดมีข้ออ้างเป็นหลักว่า ตนมีสิทธิดีกว่าจำเลย ผู้ร้องสอดอาจฟ้องร้องว่ากล่าวเอากับจำเลยในคดีนี้ปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์หามีไม่แล้ว สิทธิของผู้ร้องสอดจึงยังไม่+กับคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนี้ จึงแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้นางสำราญอักษรแยกคดีไปฟ้องร้องว่ากล่าวเป็นอีกสำนวนหนึ่งโดยคืนค่าขึ้นศาล ค่าคำสั่งและค่า+ให้ไป นอกนั้น คงพิพากษายืน ให้โจทก์เสียค่าทนายความในชั้นนี้แทนจำเลยอีก + ด้วย

กับ

Share