คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีอาญา เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จแล้วการที่ศาลชั้นต้นเรียกสำนวนคดีอื่นมาประกอบการพิจารณา ก็เป็นการสืบพยานเพิ่มเติมนั่นเอง ย่อมมีอำนาจโดยพลการเรียกมาประกอบการพิจารณาโดยไม่ต้องมีฝ่ายใดอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 228

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ชนกับรถของนายเต็งเชียง แซ่เซียะ ระหว่างสอบสวนไม่ถูกควบคุมตัว ได้ขอผัดฟ้องไว้อธิบดีกรมอัยการได้อนุญาตให้ฟ้องตามหนังสืออนุญาตให้ฟ้องในคดีแดงที่ ๑๓๐๖/๒๕๐๘ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฯ มาตรา ๑๓,๒๘,๒๙,๖๖ ฯลฯ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา ๑๓,๒๘,๒๙,๖๖ ฯลฯ ปรับ ๑๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งให้รับเฉพาะข้อกฎหมายว่า สำนวนนี้ไม่มีหนังสือรับรองให้ฟ้องของอธิบดีกรมอัยการมีแต่ในสำนวนคดีแดงที่ ๑๓๐๖/๒๕๐๘ ของศาลแขวง ฯ จะนำมาใช้บังคับในคดีนี้ได้เพียงใดหรือไม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๐๘ ผู้ว่าคดีฟ้องจำเลยนี้กับนายเต็งเชียงในข้อหาขับรถยนต์ประมาทชนกันเสียหาย คือ คดีแดงที่ ๑๓๐๖/๒๕๐๘ โดยบรรยายฟ้องว่า อธิบดีกรมอัยการได้อนุญาตให้ฟ้องได้ และได้ส่งหนังสืออนุญาตติดไว้ในสำนวนด้วย นายเต็งเชียงรับสารภาพ จำเลยนี้ปฏิเสธ ศาลสั่งให้แยกฟ้องจำเลยนี้ และพิพากษาลงโทษนายเต็งเชียง วันเดียวกัน โจทก์ฟ้องคดีนี้ บรรยายฟ้องว่าอธิบดีกรมอัยการได้อนุญาตให้ฟ้องแล้ว ปรากฏตามหนังสืออนุญาตให้สำนวนคดีแดงที่ ๑๓๐๖/๒๕๐๘ จำเลยปฏิเสธ เรื่องอำนาจฟ้องไม่ได้โต้แย้งไว้ เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยเบิกความเป็นพยานตนเองว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมิได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการ ศาลชั้นต้นสั่งให้นำสำนวนคดีอาญาแดงที่ ๑๓๐๖/๒๕๐๘ มาผูกติดสำนวนนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ในกรณีเช่นนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๘ บัญญัติว่า ในระหว่างการพิจารณาโดยพลการ หรือคู่ความฝ่ายใดร้องขอ ศาลมีอำนาจสืบพยานเพิ่มเติม จะสืบเองหรือส่งประเด็นก็ได้ การที่ศาลเรียกสำนวนคดีแดงที่ ๑๓๐๖/๒๕๐๘ มาประกอบการพิจารณา ก็เป็นการสืบพยานเพิ่มเติมนั่นเอง ย่อมมีอำนาจโดยพลการ เรียกมาประกอบการพิจารณาโดยไม่ต้องมีฝ่ายใดอ้างตามกฎหมายดังกล่าว พิพากษายืน

Share