คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลสั่งไม่รับฎีกา และผู้ฎีกาได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งโดยหาผู้ค้ำประกันมาทำสัญญาค้ำประกันค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 นั้น เมื่อศาลฎีกาสั่งยกคำร้องไม่รับฎีกา คดีที่โจทก์ฟ้องก็ถึงที่สุดตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้น ผู้ค้ำประกันจึงต้องปฏิบัติตามสัญญาค้ำประกัน.

ย่อยาว

คดีนี้ เนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์ขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลไม่อนุญาต โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์ยกคำร้อง โจทก์ฎีกา ศาลแพ่งสั่งว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุด ไม่รับฎีกา โจทก์อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลสั่งให้โจทก์นำเงินค่าฤชาธรมเนียมมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๔ นายกมลจึงได้ทำสัญญาค้ำประกันเงินดังกล่าว ศาลแพ่งส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกาไปยังศาลฎีกา ศาลฎีกาสั่งว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๕๖ ให้ยกคำร้อง จำเลยจึงขอให้ศาลบังคับคดีตามคำพิพากษา นายกมลผู้ค้ำประกันจึงร้องว่าโจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งศาลไว้แล้ว คดียังไม่ถึงที่สุด ผู้ค้ำประกันยังไม่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาค้ำประกัน ขอให้งดการปฏิบัติการบังคับคดีไว้ก่อน
ศาลแพ่งสั่งว่า การยื่นอุทธรณ์คำสั่งเป็นเรื่องของโจทก์ ไม่เกี่ยวกับนายประกันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาประกัน ให้ยกคำร้อง
ผู้ค้ำประกันอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ค้ำประกันฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ผู้ค้ำประกันได้มาทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลก็เพื่อโจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลแพ่งที่ไม่รับฎีกาของโจทก์ เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้องไม่รับฎีกา คดีที่โจทก์ฟ้องก็ถึงที่สุดตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้น ผู้ค้ำประกันจะต้องปฏิบัติตามสัญญาค้ำประกันนั้น การที่โจทก์รื้อฟื้นให้ศาลรับอุทธรณ์ของโจทก์อีก และเมื่อศาลปฏิเสธไม่รับ ก็ใช้สิทธิอุทธรณ์นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หาทำให้คดีถึงที่สุดแล้วกลับกลายเป็นไม่ถึงที่สุดไม่
พิพากษายืน.

Share