คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1155/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือให้ไว้แก่โจทก์ว่าจะรื้อถอนอาคารออกไปจากที่ดินของโจทก์ภายในกำหนด โดยจำเลยยินยอมรับเงินค่ารื้อถอนเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ครั้นเมื่อโจทก์ให้เงินจำเลยแล้ว และถึงกำหนดเวลาแล้ว จำเลยก็ไม่รื้อจึงขอให้ศาลบังคับ จำเลยรับว่าได้ลงชื่อในสัญญาที่โจทก์อ้างจริงแต่เป็นเพราะถูกโจทก์หลอกลวงให้ ลงชื่อ โดยความจริงโจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยรื้ออาคารเพียงส่วนน้อยเพื่อให้ได้ระดับกับห้องแถวที่ปลูกอยู่ข้าง เคียงแล้วโจทก์ให้จำเลยลงนามในเอกสารโดยไม่อ่านข้อความให้จำเลยฟัง ดังนี้เป็นเรื่องจำเลยมิได้ปฏิเสธสัญญา ที่โจทก์ฟ้องเสียทั้งหมด เป็นแต่กล่าวอ้างว่าไม่ถูกต้องเพียงบางส่วน เช่นนี้จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายนำสืบก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ว่าจะรื้อถอนโรงทำขนมจีนและเลี้ยงสุกร ออกไปจากที่ดินของโจทก์ ภายใน ๔ เดือน โดยยินยอมรับเงินค่ารื้อถอนเป็นจำนวนเงิน ๑,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยก็ได้รับเงิน ๑,๐๐๐ บาทไปแล้ว แต่ ครบกำหนดแล้วไม่รื้อถอนไป โจทก์จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยรับว่า ได้ลงนามในสัญญาจริง แต่ต่อสู้ว่าถูกโจทก์หลอกลวง เพราะโจทก์ตกลงให้จำเลยรื้ออาคารของจำเลยเป็น ส่วนน้อย เพื่อให้ได้ระดับกับห้องแถวที่ปลูกอยู่ข้างเคียง โดยโจทก์ยอมให้ค่ารื้อถอนแก่จำเลย ๑,๐๐๐ บาท แล้วโจทก์ให้ จำเลยลงชื่อในเอกสารโดยไม่ได้อ่านข้อความให้จำเลยฟังสัญญานั้นจึงใช้บังคับไม่ได้
โจทก์ จำเลยต่างไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน ว่าสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องนี้ตอนใดไม่ถูกต้องบ้าง และจำเลยถูกหลอกลวง อย่างใด เมื่อจำเลยไม่นำสืบ จำเลยก็แพ้คดี พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนโรงทำขนมจีนและสุกรไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยมิได้ปฏิเสธสัญญาที่โจทก์ฟ้องเสียทั้งหมด เป็นแต่กล่าวอ้างว่าไม่ถูกต้องเพียงบางส่วน เช่นนี้จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายนำสืบก่อน ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยคดีชอบแล้ว
พิพากษายืน./

Share