แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ใช้ห้องเช่าทำการค้า แม้ผู้เช่าและครอบครัว ยังคงอาศัยอยู่ในห้องเช่าด้วย ห้องเช่านั้นก็มิใช่เป็น “เคหะ”
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าของโจทก์ โดยอ้างว่าหมดอายุสัญญาเช่าและบอกเลิกสัญญาแล้ว
จำเลยต่อสู้ว่า เช่าอยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ขับไล่ ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาคดีนี้แล้ว ได้ความว่าจำเลยเช่าห้องพิพาทของโจทก์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2486 โดยมิได้ทำหนังสือสัญญาเช่า ชั้นแรกตกลงราคาค่าเช่ากันเดือนละ 10 บาท ต่อมาจำเลยยอมเสียค่าเช่าให้โจทก์เดือนละ 20 บาท จำเลยทำการค้าขายใช้ชื่อว่า “เพราะพาณิชย์” ขายเครื่องอาหลั่ยยนต์ ใน พ.ศ. 2493 จำเลยเปิดแผนกขายอาหารและกาแฟเพิ่มขึ้นอีก เพิ่งจะเลิกขายอาหารและกาแฟหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้ราวเดือนหนึ่ง ห้องพิพาทอยู่ที่ตลาดบ้านโป่ง ริมถนนใหญ่ในเขตเทศบาล บ้านสองฟากถนนแถวนั้น ทำการค้าทั้งสิ้น ต่อมาโจทก์ต้องการห้องพิพาทคืนจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลย ๆ ยังขืนอยู่เรื่อยมา ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยใช้ห้องพิพาททำการค้า แม้จำเลยและครอบครัวยังคงอาศัยอยู่ในห้องพิพาทด้วย ห้องพิพาทมิใช่เป็น”เคหะ” เมื่อไม่มีหนังสือสัญญาเช่าต่อกันและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว จำเลยยังขืนอยู่ต่อมา โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายแก่จำเลยได้ ฯลฯ
จึงพิพากษายืน