คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงของโจทก์จำเลยตามคำเปรียบเทียบของอำเภอที่ท้ากันว่า ถ้านายฮิ้วผู้ใหญ่บ้านมาชี้ขาดว่าทางพิพาทใช้เดินมาก่อนนายขำจับจองแล้ว จำเลยยอมเว้นทางเดินให้ 2 วา ถ้าหากเดินหลังนายขำจับจองแล้ว โจทก์จะไม่ขอเดินและเกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งต่อมานายฮิ้วผู้ใหญ่บ้านได้มาให้ถ้อยคำชี้ขาดที่อำเภอว่าทางนี้ใช้เดินมาก่อนนายขำจับจองจริง ข้อตกลงนี้เป็นข้อตกลงเพื่อระงับข้อพิพาท จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ

ย่อยาว

คดีมีปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อตกลงของโจทก์จำเลยที่ทำไว้ต่ออำเภอเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ข้อตกลงมีอยู่ดังนี้
๑.ให้อำเภอเรียกตัวนายฮิ้ว ทรายทอง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑ ตำบลนาเหนือมาพร้อมกันที่อำเภอในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๐๑ เวลา ๙.๐๐ น. อีกครั้งหนึ่ง
๒. คู่กรณีตกลงว่า เมื่อนายฮิ้ว ทรายทอง ผู้ใหญ่บ้านมาชี้ขาดว่า ทางนี้ใช้เดินมาก่อนนายขำ ณ นคร จับจองแล้ว นาย
เที่ยมจำเลยยอมเว้นทางเดินให้ ๒ วา ถ้าหากเดินหลังนายขำจับจองแล้ว นายเนิมโจทก์จะไม่ขอเดินและเกี่ยวข้องทางนี้ต่อไป
ต่อมาวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๐๑ นายฮิ้ว ทรายทอง ได้ไปยังที่ว่าการอำเภอและได้ให้ถ้อยคำชี้ขาดตามที่อำเภอได้บันทึกไว้ดังนี้
“ข้าพเจ้า นายฮิ้ว ทรายทอง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑ ตำบลนาเหนือ อำเภออ่าวลึก ให้คำชี้ขาดต่อเจ้าพนักงานว่า คดีซึ่งนาย
เนิมกล่าวหาว่านายเที่ยมทำรั้วปิดทางซึ่งตกลงให้ ข้าฯ ชี้ขาดตามบันทึกลงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๐๑ ข้างต้นนั้น ข้าฯ ขอชี้ขาดว่า ทางนี้ใช้เดินมาก่อนนายขำ ณ นคร จับจองจริง”
ศาลชั้นต้นฟังว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความกัน แต่ศาลอุทธรณ์ว่าไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ฎีกาว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์จำเลยท้ากันให้นายฮิ้วเป็นผู้ชี้ขาดว่า ทางพิพาทมีอยู่ก่อนหรือภายหลังนายขำจับจอง ให้ถือเอาคำชี้ขาดนั้นเป็นผลในการที่ทำให้โจทก์จะมีสิทธิได้ใช้ทางพิพาทหรือไม่ การที่โจทก์จะมีสิทธิหรือหมดสิทธิใช้ทางพิพาทนี้เป็นการทำให้ข้อพิพาทเป็นอันเสร็จสิ้นกันไป จึงถือได้ว่า ข้อตกลงนี้เป็นข้อตกลงเพื่อระงับข้อพิพาท จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ฯลฯ พิพากษาแก้ ให้จำเลยเปิดทางพิพาทกว้าง ๒ วา ให้ทั้งคนและสัตว์พาหนะเดินได้

Share