แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำร้องขอแก้ไขคำให้การของจำเลยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ครอบครองและเป็นเจ้าของรถยนต์คันที่เฉี่ยวชนกับรถยนต์ของจำเลยหรือไม่ ซึ่งจำเลยได้ยอมรับข้อเท็จจริงในคำให้การและฟ้องแย้งแล้ว และเมื่อศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานโดยมิได้กำหนดข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นประเด็นข้อพิพาท ทนายจำเลยซึ่งไปศาลในวันชี้สองสถานก็มิได้โต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงยุติตามนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 183 แม้จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถานเพราะเพิ่งทราบว่าโจทก์ที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของรถคู่กรณี แต่คำร้องขอแก้ไขก็มิได้ปฏิเสธฟ้องโจทก์ที่ว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ตู้นั่ง 4 ตอน ดังนั้น การขอแก้ไขในประเด็นที่จำเลยยอมรับและยุติไปแล้วไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การหลังจากวันชี้สองสถาน จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 180 ที่ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้แก้ไขคำให้การชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์กระบะด้วยความประมาท เฉี่ยวชนรถตู้นั่ง 4 ตอน หมายเลขทะเบียน 8 ย – 1678 กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับบาดเจ็บและรถยนต์ของโจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ครอบครองและเป็นเจ้าของรถตู้ หมายเลขทะเบียน 8 ย – 1678 กรุงเทพมหานคร จริง เหตุรถเฉี่ยวชนกันไม่ได้เกิดจากความประมาทของจำเลย แต่เกิดจากความประมาทของนายอนุชา ผู้ขับรถยนต์ของโจทก์ที่ 1 และเป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองและบังคับให้โจทก์ที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2542 และสืบพยานโจทก์ไปแล้ว 3 ปาก
ต่อมาวันที่ 27 กรกฎาคม 2544 จำเลยยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2544 ทนายจำเลยได้ไปขอสำเนาจดทะเบียนรถยนต์ คันหมายเลขทะเบียน 8 ย – 1678 กรุงเทพมหานคร จากสำนักงานทะเบียนกรมการขนส่งทางบก จึงพบว่าขณะเกิดเหตุและฟ้องคดีนี้รถยนต์คันดังกล่าวยังไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 ขอแก้ไขคำให้การว่า ในขณะเกิดเหตุและฟ้องคดีนี้โจทก์ที่ 1 ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8 ย – 1678 กรุงเทพมหานคร โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยผู้ทำให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์คันดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำร้องไม่แสดงเหตุที่ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 7 วัน กรณีไม่มีเหตุสมควรและไม่ใช่เป็นการแก้ไขเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือผิดหลงเล็กน้อย จึงไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและไม่อนุญาตให้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นอกจากคำให้การที่จำเลยเสนอต่อศาลชั้นต้นแต่แรกเป็นการยอมรับว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ครอบครองและเป็นเจ้าของรถยนต์ คันหมายเลขทะเบียน 8 ย – 1678 กรุงเทพมหานครแล้ว ฟ้องแย้งของจำเลยยังกล่าวอ้างว่า รถยนต์คันดังกล่าวเป็นของโจทก์ที่ 1 เพื่อให้โจทก์ที่ 1 ต้องรับผิดต่อจำเลย เพราะเหตุที่รถยนต์คันดังกล่าวเฉี่ยวชนกับรถยนต์ของจำเลยอีกด้วย อันเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดว่า จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ครอบครองและเป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวแล้ว และเมื่อศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานโดยมิได้กำหนดข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นประเด็นข้อพิพาท ทนายจำเลยซึ่งไปศาลในวันชี้สองสถานก็มิได้โต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ครอบครองและเป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวหรือไม่ เป็นอันยุติไปตามนั้น ทั้งนี้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 183 แม้จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถานเพราะเพิ่งพบว่าโจทก์ที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ คู่กรณี แต่คำร้องขอแก้ไขก็มิได้ปฏิเสธฟ้องโจทก์ที่ว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ตู้นั่ง 4 ตอน การขอแก้ไขในประเด็นที่จำเลยยอมรับและยุติไปแล้วดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การหลังจากวันชี้สองสถาน จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 180
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.