แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 เบิกความอันเป็นเท็จเพื่อแสดงว่าโจทก์ได้กู้เงินจำเลยที่ 1 และยังได้เบิกความเท็จอีกว่าโจทก์ได้พักอยู่กับจำเลยที่ 2 โจทก์ได้บอกจำเลยที่ 2 ว่าไปบ้านยางสินไชยได้เงินมา 1,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้น่าเชื่อว่าโจทก์ได้กู้เงินจำเลยที่ 1 จริง ข้อความที่จำเลยที่ 2 เบิกความต่อศาลในการพิจารณานั้น จึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องเรียกเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓ ถึงวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๐๕ จำเลยบังอาจปลอมเอกสารสิทธิสัญญากู้ว่าโจทก์กู้เงินจำเลยที่ ๑ จำนวน ๑,๐๐๐ บาท โดยโจทก์ไม่เคยกู้เงินจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๑ นำเอกสารนี้ยื่นฟ้องต่อศาลว่าโจทก์กู้เงินจำเลยที่ ๒, ๓, ๔ เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาต่อศาลว่าโจทก์ทำสัญญากู้ให้แก่จำเลยที่ ๑ จริง เป็นข้อสำคัญในคดี ส่วนจำเลยที่ ๒ เบิกความอันเป็นข้อสำคัญในคดีและเป็นเท็จว่า ระหว่างวันที่ ๒๐ ถึงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๐ จำเลยที่ ๒ กับโจทก์ได้ไปพักที่โรงเรียนมัธยมสามัญอำเภออาจสามารถด้วยกัน วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๐ เวลา ๑๖.๑๐ นาฬิกา โจทก์ได้บอกจำเลยที่ ๒ ว่าวันนี้จะไม่ไปนอนด้วย จะไปหาเงินที่บ้านยางสินไชย ขอให้จำเลยดูของให้ด้วย เที่ยงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๐ โจทก์ก็เล่าให้จำเลยที่ ๒ ฟังว่าได้เงินมา ๑,๐๐๐ บาท ซึ่งความจริงโจทก์และจำเลยที่ ๒ ไม่เคยพักด้วยกันที่โรงเรียนในวันดังกล่าว ไม่เคยบอกว่าจะไปหาเงินบ้านยางสินไชย ฯลฯ ดังคำเบิกความของจำเลยที่ ๒
ก่อนไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นประทับฟ้องและพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๘, ๑๘๐, ๑๗๗ ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๖๕, ๙๑ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑ ปี จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ มีความผิดตามมาตรา ๑๗๗ ให้จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๖ เดือน จำคุกจำเลยที่ ๔ มีกำหนด ๔ เดือน
จำเลยที่ ๑, ๒ และ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๘, ๑๗๗ และ ๑๘๐ แต่ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๒๖๘, ๒๖๕ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๑ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑, ๒, ๔ ฎีกา แต่ศาลฎีกาสั่งรับเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ ๒ ในข้อ ๒(๒) ที่จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า น่าเชื่อว่าโจทก์มิได้ทำสัญญากู้เอกสารหมาย จ.๑ นั้นกับจำเลยที่ ๑ หากแต่ทำสัญญากู้ดังกล่าวกับจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๓ และมีการแก้เลข ๓ ใน พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นเลข ๐ สำหรับเงินที่โจทก์ยืมจำเลยที่ ๒ ไปนั้น โจทก์ได้ชำระให้แล้ว แต่จำเลยที่ ๒ มิได้คืนสัญญากู้ให้โจทก์ เอกสารสัญญากู้ จ.๑ นั้น จำเลยที่ ๑ ได้นำไปเป็นหลักฐานในการฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ ๔/๒๕๐๖ ของศาลชั้นต้น และอ้างเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดีด้วย ศาลจังหวัดร้อยเอ็ดพิจารณาคดีแล้ว เห็นว่า เอกสารนี้มีรอยลบและเขียนใหม่ตรงเลข “๐” ไม่เชื่อว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ข้อความที่จำเลยที่ ๒ เบิกความในการพิจารณาคดีของศาลจังหวัดร้อยเอ็ดตามที่โจทก์ฟ้องนั้นเป็นความเท็จ กล่าวคือ ตามความจริงนั้น ในคืนระหว่างวันที่ ๒๐ – ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๐ โจทก์ไม่เคยพักร่วมกับจำเลยที่ ๒ ที่โรงเรียน ในวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๐๐ โจทก์ไม่ได้บอกจำเลยที่ ๒ ว่าได้เงินมา ๑,๐๐๐ บาท
ในประเด็นที่ว่า ข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยที่ ๒ เบิกความในการพิจารณาต่อศาลเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๒ เบิกความอันเป็นเท็จเพื่อแสดงว่าโจทก์ได้กู้เงินจำเลยที่ ๑ และว่าโจทก์ได้พักอยู่กับจำเลยที่ ๒ โจทก์ได้บอกจำเลยที่ ๒ ว่าไปบ้านยางสินไชยได้เงินมา ๑,๐๐๐ บาท เพื่อส่งเสริมให้น่าเชื่อว่าโจทก์ได้กู้เงินจำเลยที่ ๑ จริง ข้อความที่จำเลยที่ ๒ เบิกความจึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยที่ ๑ ฟ้องเรียกเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้ จำเลยที่ ๒ จึงมีความผิดตามมาตรา ๑๗๗ ประมวลกฎหมายอาญา ที่โจทก์ฟ้อง และเมื่อพิจารณาถึงว่าจำเลยที่ ๒ ไม่คืนหนังสือสัญญากู้เงินให้โจทก์เมื่อได้รับชำระหนี้แล้ว อันเป็นเหตุให้หนังสือสัญญานั้นถูกปลอมแปลง และเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ นำหนังสือสัญญาที่ปลอมนั้นมาฟ้องโจทก์ จึงเห็นว่าไม่สมควรรอการลงโทษจำเลยที่ ๒
พิพากษายืน.