แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ด้วยเหตุ 2 ประการต่างหาก โจทก์ฎีกาคัดค้านแต่เหตุเดียวย่อมไม่มีทางชนะคดีได้ศาลฎีกาจึงไม่ต้องพิจารณาเหตุที่โจทก์ฎีกาว่าจะฟังได้หรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหมิ่นประมาท ส.ต.ต. ประสิทธิ์ และสู้ขัดขวางไม่ให้ ส.ต.ต. ประสิทธิจับกุมจำเลยตามหน้าที่ ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น ไม่เชื่อในข้อหมิ่นประมาท แต่เชื่อว่าจำเลยได้ขัดขวางไม่ยอมให้ ส.ต.ต. ประสิทธิจับกุม พิพากษาลงโทษตามอาญา ม.๑๑๙ ปรับ ๒๐ บาท
โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ เชื่อว่า จำเลยหมิ่นประมาท ส.ต.ต.ประสิทธิจริงพิพากษาปรับ ๑๐ บาท ตามอาญา ม.๑๑๖ ส่วนข้อหาฐานขัดขวางเจ้าพนักงานตามอาญา ม.๑๑๙ นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยก โดยฟังว่าจำเลยไม่ได้ต่อสู้ขัดขวาง นอกจากนั้นเจ้าพนักงานไปจับจำเลยในที่ระโหฐานในเวลากลางคืนโดยไม่มีหมายจับหมายค้นและไม่ใช่กรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วย วิ.อาญา ม.๘๑ ข้อ ๑ และ ม.๙๖ ข้อ ๒ แม้จำเลยจะได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน จำเลยก็ยังไม่มีความผิด
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยได้กระทำการขัดขวางเจ้าพนักงาน ขอให้ลงโทษตาม อาญา ม.๑๑๙ ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นกล่าว โจทก์คงฎีกาแต่ในข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กระทำการขัดขวางเจ้าพนักงาน ฎีกาโจทก์จึงชนะคดีไม่ได้ โดยไม่ต้องพิจารณาว่าข้อเท็จจริงฟังได้หรือไม่ว่า จำเลยได้กระทำการขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงาน ให้ยกฎีกาโจทก์ โดยพิพากษายืน