แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยเปิดทางเดิน โดยอ้างว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ แม้จะพิจารณาได้ความว่าทางพิพาทเป็นของจำเลย มิใช่ทางสาธารณะก็ตาม เมื่อฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายว่าที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมของที่ดินผู้อื่นทั้งสี่ด้าน และข้อเท็จจริงก็ได้ความว่าโจทก์เคยนำวัวควายออกไปเลี้ยงและทำนาโดยอาศัยทางพิพาทนี้มาก่อนจำเลยปิดกั้นแล้ว เช่นนี้ โจทก์ย่อมมีความชอบธรรมที่จะใช้ทางพิพาทได้ จำเลยจะใช้สิทธิปิดทางไม่ให้โจทก์ได้ใช้เสียเลยหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโจทก์อยู่ในที่ล้อมทั้งสี่ด้าน ทางเดินซึ่งอยู่ติดต่อกับที่ดินโจทก์ด้านใต้เป็นทางเดินจากที่ดินโจทก์ไปสู่ทุ่งนา เป็นทางเดินผ่านไปตามกลางพรุ ทางเดินนี้เป็นสาธารณะโจทก์ใช้ทางนี้สัญจรไปมาเสมอก่อน ๑๐ ปีแล้ว ต่อมาจำเลยได้ปิดทางเดินนี้เสียเป็นเหตุให้โจทก์และราษฎรอื่นได้รับความเดือดร้อน จึงขอให้ศาลสั่งจำเลยให้เปิดทางเดินและรื้อถอนสิ่งกีดขวางกั้นทางเดินออก และห้ามจำเลยอย่าให้ปิดทางนี้ต่อไป
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นทางสาธารณะ แต่ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อม จำเป็นต้องนำวัวควายไปเลี้ยงและทำนา โจทก์ผ่านที่ดินจำเลยไปสู่ทางสาธารณะ โจทก์มีความจำเป็นและชอบธรรมจะใช้ทางพิพาทในที่ดินจำเลยออกไปสู่คลองสาธารณะ จึงพิพากษาให้จำเลยเปิดทางพิพาทรื้อถอนสิ่งกีดขวาง แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะว่ากล่าวในเรื่องค่าทดแทนจากโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ระบุในฟ้องเพียงว่า ด้านทิศใต้ที่ดินโจทก์ต่อพรุและทางเดินและอ้างว่าทางเดินนี้เป็นทางสาธารณะ โจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ และโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยขอทำทางผ่านที่ดินจำเลยเนื่องจากความจำเป็นเพื่อไปออกสู่ทางสาธารณะ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าทางพิพาทที่โจทก์อ้างว่าเป็นทางสาธารณะนั้นไม่น่าเชื่อ เพราะได้ความว่าทางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลย การที่มีผู้ใช้ทางพิพาทผ่านไปมาก็โดยจำเลยมิได้หวงห้ามแต่จำเลยก็ยังหวงแหนอยู่ ทางพิพาทจึงไม่ใช่ทางสาธารณะดังโจทก์ฟ้อง แต่ถึงอย่างไรก็ดี แม้ทางพิพาทจะไม่เป็นทางสาธารณะ ไม่ใช่ทางภารจำยอม แต่ฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายว่า ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมของที่ดินผู้อื่นทั้งสี่ด้าน ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะเลย เมื่อกรณีของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินของผู้อื่นล้อมอยู่โดยรอบ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๙๙ ก็ได้บัญญัติรับรู้ความจำเป็นของเจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินคนอื่นล้อมให้ผ่านที่ดินที่ล้อมที่ดินของตนไปสู่ทางสาธารณะได้ ย่อมเห็นได้ว่า จำเลยจะใช้สิทธิปิดทางไม่ให้โจทก์ได้ใช้เสียเลยหาได้ไม่และข้อเท็จจริงก็ได้ความชัดว่าได้เคยนำวัวควายออกไปเลี้ยงและทำนาที่ทุ่งนาโดยอาศัยทางพิพาทนี้มาก่อนจำเลยปิดกั้นแล้ว ดังนั้น โจทก์จึงมีความชอบธรรมที่จะใช้ทางพิพาทได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ โดยให้บังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น