คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่เจ้าของที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่จัดสร้างวัดขึ้นในที่ดินแล้วถวายให้เป็นวัดและทางราชการได้ประกาศตั้งให้เป็นสำนักสงฆ์ ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์แล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นวัดตามกฎหมายวัดย่อมเป็นนิติบุคคลซึ่งมีสิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคลซึ่งมีสิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคลธรรมดา ตาม ป.พ.พ. วัดจึงอาจได้ที่ดินมาโดยทางครอบครองได้
(อ้างฎีกา 1253/2481, 944-945/2497)
เจ้าของที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญมอบการครอบครองที่ดินที่สร้างวัดและสิ่งปลูกสร้างถวายให้เป็นของวัดและวัดเข้าครอบครองแล้ว ก็ถือได้ว่าเจ้าของที่ดินสละการครอบครองไม่ต้องทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองให้แต่ประการใด (อ้างฎีกาที่ 541/2500)
เมื่อเจ้าของที่ดินยังไม่มีหนังสือสำคัญสละการครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างถวายวัดซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแล้ว เจ้าของที่ดินนั้นก็ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่หรือห้ามพระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ให้เป็นเจ้าอาวาสได้

ย่อยาว

คดีได้ความว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินยังไม่มีหนังสือสำคัญจากนายสุข วงษ์กรด โดยนำสัญญาซื้อขายกันต่ออำเภอชุมแสงเพื่อสร้างเป็นวัดรายพิพาท โจทก์ได้รับอนุญาตทางราชการให้สร้างวัดได้ โจทก์และชาวบ้านได้จัดการสร้างหอสวดมนต์ ๑ หลัง กุฏิ ๓ หลัง ครัวห้องน้ำและห้องส้วมขึ้นเสร็จแล้ว โจทก์และชาวบ้านได้ร่วมกันนิมนต์พระภิกษุสามเณรมาจำพรรษาที่วัดที่สร้างขึ้นในพรรษาของปี พ.ศ. ๒๔๙๗ รวมทั้งจำเลยนี้ด้วย โจทก์ได้รายงานต่ออำเภอว่าได้สร้างวัดขึ้นเสร็จแล้ว ขอให้ทางการประกาศเป็นสำนักสงฆ์ และขอให้โอนที่ดินรายนี้เป็นของวัดแสงธรรมสุทธาราม ต่อมากระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศให้วัดแสงธรรมสุทธารามนี้เป็นสำนักสงฆ์ ตามความประสงค์ของโจทก์ ทางอำเภอก็แจ้งให้โจทก์ทราบ และขอให้โจทก์ไปจัดการโอนทะเบียนที่ดินให้แก่วัด ก่อนอำเภอจะแจ้งให้โจทก์โอนที่ดิน โจทก์ไม่พอใจอยากให้พระครูธรรมรัต เป็นเจ้าอาวาส จึงมีหนังสือบอกอำเภอว่า จำเลยแสดงตนเป็นเจ้าอาวาสและขัดขวางในการ(ที่จะ)สร้างวัดต่อไป ขอให้ระงับการโอนที่ดินให้วัดไว้ชั่วคราว การที่ฟ้องร้องกันก็เป็นเพราะโจทก์ร้องเรียนไปยังเจ้าคุณพรหมมุนี เจ้าคณะธรรมยุตภาค ๖ ว่า พระภิกษุวัดราชบพิธที่ไปอยู่วัดนี้ไม่เป็นที่เลื่อมใสขอให้ระงับการส่งพระภิกษุวัดราชบพิธ ขอให้ส่งพระคณะธรรมรัตวัดเทพศิรินทร์ไปปกครองแทน จนถึงได้ร้องเรียนสมเด็จพระสังฆราช เจ้าคุณสาธุศีลสังวร ขอให้ส่งพระครูธรรมรัตและพระภิกษุวัดเทพศิรินทร์ไปอยู่ พระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่มีความเห็นเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งว่าควรให้พระครูธรรมรัตเป็นเจ้าอาวาส ผลที่สุดเจ้าคุณพระธรรมปาโมกข์ ทำการในหน้าที่เจ้าคณะธรรมยุต จังหวัดนครสวรรค์ตั้งให้จำเลยเป็นเจ้าอาวาส โจทก์จึงให้ทนายบอกกล่าวให้จำเลยออกจากวัดแล้วฟ้องเป็นคดีนี้ โดยถือว่าที่ดินที่สร้างวัดยังเป็นของโจทก์อยู่ เพราะยังมิได้โอนแก้ทะเบียนที่ดินต่ออำเภอ ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากวัดแสงธรรมสุทธาราม
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานบุคคลโดยเพียงพิจารณาตามฟ้องคำให้การ คำรับในรายงานพิจารณาและเอกสารหลักฐานแล้วพิพากษาว่า วัดนี้กระทรวงวัฒนธรรมประกาศตั้งเป็นสำนักสงฆ์ โจทก์และชาวบ้านได้ร่วมกันนิมนต์พระภิกษุสามเณรมาจำพรรษามาจนทุกวันนี้ ต่อมาจำเลยได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ โจทก์ได้สละการครอบครองที่ดินมือเปล่าที่สร้างวัดรายนี้แล้ว ที่ดินจึงตกเป็นของวัดโดยชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจขอให้ขับจำเลย ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยเหตุผลทำนองเดียวกับศาลชั้นต้น และว่า คดีไม่จำเป็นต้องสืบพยานทั้งสองฝ่ายเพราะข้อเท็จจริง ตามเอกสารที่คู่ความอ้างและรับกัน คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว
โจทก์ฎีกา ขอให้ดำเนินการพิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓(๒)
ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินฎีกาข้อเท็จจริงได้ และเห็นว่าข้อฎีกาของโจทก์ ที่ว่าโจทก์มิได้สละการครอบครองที่ดิน เพราะตลอดเวลาที่กระทรวงวัฒนธรรมประกาศตั้งวัดนี้เป็นสำนักสงฆ์ โจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านการแย่งสิทธิครอบครองมา วัดยังไม่ได้รับโอนที่ดินโดยถูกต้อง และโจทก์ดำเนินคดีภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศของกระทรวงวัฒนธรรม จะถือว่าโจทก์สละสิทธิครอบครอง หรือสิทธิครอบครองตกเป็นของคณะสงฆ์แล้วไม่ได้นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์และราษฎรจัดการสร้างวัดขึ้นและถวายให้เป็นวัดและทางราชการก็ประกาศตั้งให้เป็นสำนักสงฆ์แล้วตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ๒๔๘๔ มาตรา ๓๘ ต้องถือว่าเป็นวัดตามกฎหมายแล้ว เมื่อเป็นวัดโดยถูกต้องตามกฎหมาย ย่อมเป็นนิติบุคคลตาม ป.พ.พ. มาตรา ๗๒(๒) วัดจึงมีสิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคลธรรมดา ตามประมวลแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๗๐ วัดอาจได้ที่ดินมาโดยทางครอบครองได้ตามนัยฎีกาที่ ๑๒๕๓/๒๔๘๑ ที่ ๙๔๔-๙๔๕/๒๔๙๗
การที่โจทก์มอบการครอบครองโดยสละและอุทิศที่ดินที่สร้างวัดและสิ่งปลูกสร้างถวายให้เป็นของวัดและวัดก็เข้าครอบครองแล้วดังนี้หาต้องทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนโอนสิทธิการครอบครองให้แต่ประการใดไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๗,๑๓๗๘ ดั่งฎีกา ๕๔๑/๒๕๐๐
เมื่อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นของวัดซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแล้ว โจทก์ก็ไม่มีอำนาจอันใดที่จะฟ้องขับไล่หรือห้ามจำเลยซึ่งได้รับแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ได้
ไม่จำเป็นต้องสืบพยานตามที่โจทก์ฎีกา และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยปัญหาข้อว่าการตั้งจำเลยเป็นเจ้าอาวาสชอบหรือไม่
พิพากษายืน

Share