แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้มอบอำนาจให้ดำเนินคดีได้ลงลายพิมพ์นิ้วมือในหนังสือมอบอำนาจและมีบุคคล 2 คนลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจนั้นแม้มิได้มีข้อความไว้ด้วยว่ารับรองลายพิมพ์นิ้วมือของผู้มอบอำนาจก็นับว่าเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือนั้นด้วย (อ้างฎีกาที่ 521/2496)
ผู้เช่าอสังหาริมทรัพย์จะขอนำสืบพยานบุคคลว่าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่าเมื่อหมดสัญญาเช่าแล้วก็ต้องทำสัญญาเช่ากันใหม่โดยในหนังสือสัญญาเช่าไม่มีข้อความเช่นว่านั้นเลย หาได้ไม่เพราะเป็นการขอสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมข้อความในเอกสารซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
ย่อยาว
ได้ความว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องตามใบมอบอำนาจ สัญญาเช่าสิ้นอายุแล้ว ทั้งโจทก์ก็ได้ให้ทนายบอกกล่าวเลิกการเช่าให้จำเลยออกไปจากตึกที่เช่าแล้วด้วย และจำเลยค้างค่าเช่าเดือนสุดท้าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากตึกพิพาทของโจทก์ และให้จำเลยชำระค่าเช่าเดือนธันวาคม 2498 ที่ค้าง 2,000 บาทกับค่าเสียหายเดือนละ 6,166 บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกไปจากตึกพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะเรื่องค่าเสียหายเป็นว่าให้จำเลยเสียหายเป็นว่าให้จำเลยเสียค่าเสียหายให้โจทก์เพียงเดือนละ 2,000บาท นอกนั้นเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
เกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมายในเรื่องพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายประกอบและนายโชติศักดิ์ได้มาเบิกความว่านางเหล่าสีได้พิมพ์ลายมือในเอกสารหมาย จ. 2 (หนังสือมอบอำนาจ)ต่อหน้าเขา แม้นายประกอบและนายโชติศักดิ์จะได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานโดยมิได้มีข้อความไว้ด้วยว่า รับรองลายพิมพ์นิ้วมือของนางเหล่าสี ก็นับว่าเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือนั้นด้วยตามแบบอย่างฎีกาที่ 521/2496
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่า คดีมีประเด็นที่จะต้องให้จำเลยนำสืบพยานบุคคลประกอบข้อต่อสู้ว่าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่า เมื่อหมดสัญญาเช่าก็ทำสัญญาเช่ากันใหม่ดังที่เคยปฏิบัติกันมานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในหนังสือสัญญาเช่าหามีข้อความเช่นนี้ไม่ จึงเป็นการขอสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมข้อความในเอกสารซึ่งต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94