คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 175/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีก่อน โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินแปลงพิพาท และจำเลยยอมรับว่า ได้อาศัยอยู่ในที่ดินนี้ตอนเหนือจนกว่า โจทก์จำเลยจะได้ทำการแบ่งที่ดินกัน ศาลพิพากษาตามยอม เมื่อโจทก์ฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินรายนี้ในคดีหลัง จำเลยจะอ้างว่าได้ครอบครองที่พิพาทตอนเหนือโดยปรปักษ์จะได้กรรมสิทธิ์แล้ว และจะขอนำพยานสืบประกอบในข้อนี้หาได้ไม่เพราะข้อพิพาทอันนี้ได้ระงับไปโดยสัญญายอมในคดีก่อนแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินและห้องแถว ในคำขอท้ายฟ้องมีว่า ถ้าไม่สามารถตกลงแบ่งแยกกันได้ ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง โดยโจทก์ตีราคาที่ดินและห้องแถวส่วนที่ขอแบ่งมาในฟ้องเป็นเงิน 30,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้คดีและจำเลยเสนอมาในคำให้การด้วยว่า เพื่อตัดความยุ่งยาก จำเลยยอมให้เงิน 20,000 บาท แก่โจทก์ เท่าที่โจทก์ตีราคามาในฟ้องแทนการต้องแบ่งที่รายนี้ เมื่อโจทก์ไม่ยอมตกลงด้วย ข้อเสนอของจำเลยนี้จึงเท่ากับเสนอขอซื้อที่ส่วนได้ของโจทก์ด้วยราคา 30,000 บาท นั่นเอง เมื่อโจทก์ไม่ยินยอมด้วยและตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็มิได้ขอให้ชดใช้เงินทำนองนั้นด้วย แม้จะเป็นที่เห็นอยู่ว่า จำเลยอาจต้องเสียหายและเดือดร้อนเพราะการแบ่งแยกก็จริง ก็ไม่มีเหตุที่ศาลจะพึงบังคับให้ได้ตามข้อเสนอของจำเลย อนึ่ง เมื่อจำเลยมิได้ต่อสู้ตั้งเป็นประเด็นไว้ด้วยว่า เพื่อมิให้เสียหายและเดือดร้อนแก่จำเลยควรแบ่งกันอย่างไร โดยทดแทนเงินกันเพียงใด จึงจะสมควรตามนัย ป.พ.พ. มาตรา 1364 จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้

ย่อยาว

ได้ความว่า เดิมโจทก์จำเลยเคยเป็นความกันในคดีก่อนเกี่ยวกับทรัพย์พิพาทรายเดียวกันนี้ และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์จำเลยต่างเป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินแปลงพิพาท และห้องแถว ๒๔ ห้อง ที่ปลูกในที่ดินนี้ กับจำเลยยอมรับว่าได้อาศัยอยู่ในที่ดินตอนเหนือตามที่โจทก์ยอมคืน ภายในรั่วสังกะสีนั้นได้ตลอดไปจนกว่าโจทก์จำเลยจะได้ทำการแบ่งที่ดินกัน โดยโจทก์จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว
โจทก์ฟ้องคดีนี้กล่าวท้าวความถึงเรื่องเดิมดังกล่าวข้างต้น ขอให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินและห้องแถวรายนี้ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและรั้วซึ่งล้ำเข้ามาในเขตที่ส่วนของโจทก์แล้วอย่างเกี่ยวข้องต่อไป ถ้าไม่สามารถตกลงแบ่งแยกกันได้ ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันคนละครึ่ง โดยโจทก์ตีราคาที่ดินและห้องแถวส่วนที่ขอแบ่งมาในฟ้องเป็นจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่ดินภายในรั้วที่จำเลยปลูกบ้านเรือนอยู่นั้น จำเลยได้ครอบครองเป็นเจ้าของมานานกว่า ๑๐ ปี ย่อมเป็นส่วนกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้ว โจทก์จะขอแบ่งที่ส่วนนี้ด้วยไม่ได้ ส่วนทีได้ยอมความกันจนศาลพิพากษาเสร็จไปในคดีก่อนนั้น จำเลยเถียงว่า ไม่มีข้อความในสัญญายอมระบุว่าจำเลยอาศัยที่ส่วนนั้นต่อโจทก์คำว่า อาศัย ในสัญญายอมความหมายว่า จำเลยอยู่อาศัยและตามสัญญายอมนี้ก็ไม่ให้โจทก์เกี่ยวข้องกับที่ของจำเลยนี้ด้วย จำเลยได้เสนอมาในคำให้การด้วยว่า เพื่อตัดความยุ่งยาก จำเลยยอมให้เงิน ๓๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์เท่าที่โจทก์ตีราคามาในฟ้องแทนการต้องแบ่งแยกที่รายนี้ ซึ่งโจทก์ไม่ยอมตกลงด้วย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานบุคคล แล้วพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินแปลงนี้ทั้งหมดพร้อมด้วยห้องแถว ๒๔ ห้องนั้น ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง และเมื่อแบ่งแล้ว หากจำเลยไม่ได้ที่ดินส่วนที่จำเลยปลูกบ้านเรือนและล้อมรั่วสังกะสีไว้ ก็ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างนั้นๆ ออกไปให้พ้น อย่างเกี่ยวข้องต่อไป ถ้าตกลงแบ่งกันไม่ได้ ให้ประมูลราคาระหว่างกันหรือขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วน
ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน
ข้อวินิจฉัยของศาลฎีกามีว่า ข้อพิพาทอันเป็นสาระสำคัญแห่งคดีมีอยู่ข้อเดียวคือ จำเลยเถียงว่า ที่ดินตอนเหนือที่จำเลยปลูกบ้านเรือนล้อมรั้วสังกะสีอยู่มาช้านานแล้วนั้น ตกเป็นส่วนได้ของจำเลยแล้ว โจทก์จะแบ่งที่ส่วนนี้ด้วยไม่ได้ แต่โจทก์เถียงว่า ที่ดินตอนเหนือส่วนนี้ก็เป็นเจ้าของร่วมกันอยู่ หาได้ตกเป็นของจำเลยฝ่ายเดียวไม่ ข้อนี้ต้องพิจารณาสัญญายอมว่า ข้อพิพาทอันนี้ได้ระงับไปโดยสัญญายอมนั้นแล้วหรือไม่ ถ้ายังไม่ระงับไป ก็ย่อมนำสืบโต้เถียงกันในคดีนี้ได้ แต่ถ้าระงับไปแล้วก็ต้องเป็นยุติ จะยกขึ้นโต้เถียงในคดีนี้อีกหาได้ไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเถียงของจำเลยดังกล่าวนั้น ได้ระงับสิ้นไปโดยสัญญายอมในคดีก่อนแล้ว จำเลยจะยกขึ้นโต้เถียงในคดีนี้อีกหาได้ไม่ จำเลยก็ย่อมจะนำพยานเข้าสืบในข้อนี้เป็นการรื้อฟื้นขึ้นโต้แย้งอีกไม่ได้ โจทก์จึงชอบที่จะขอให้แบ่งแยกที่ดินแปลงนี้กับจำเลยฝ่ายละครึ่งตามที่เป็นเจ้าของร่วมกันอยู่ตลอดทั้งแปลงได้
ที่จำเลยเสนอขอให้เงิน ๓๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์แทนการแบ่งแยกเพื่อจำเลยจะไม่ต้องรื้อถอนบ้านเรือนที่ได้ปลูกอยู่มาช้านานแล้วให้เป็นการเสียหายและเดือดร้อนแก่จำเลยอย่างมากนั้น ข้อเสนอของจำเลยนี้จึงเท่ากับเสนอขอซื้อที่ส่วนได้ของโจทก์ด้วยราคา ๓๐,๐๐๐ บาท นั่นเอง เมื่อโจทก์ไม่ยินยอมด้วยและตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็มิได้ขอให้ชดใช้เงินทำนองนั้นด้วยเช่นนี้ แม้จะเป็นที่เห็นอยู่ว่า จำเลยอาจะต้องเสียหายและเดือดร้อนเพราะการแบ่งแยกก็จริง ก็ไม่มีเหตุที่ศาลจะพึงบังคับให้ได้ตามข้อเสนอของจำเลย ฎีกาที่ ๗๘๐/๒๔๙๗ ที่จำเลยอ้างนั้น รูปคดีไม่เหมือนกัน เพราะในคดีตามฎีกาเรื่องนั้น ได้มีคำขอท้ายฟ้องของโจทก์อยู่ด้วยว่า ถ้าไม่อาจแบ่งแยกหรือขายทอดตลาดได้ ก็ขอให้จำเลยใช้เงินเป็นค่าที่ดินและบ้านเรือนให้แก่โจทก์ จึงมีทางที่ศาลจะเลือกบังคับให้ได้ในเมื่อเห็นสมควร อนึ่ง เมื่อจำเลยมิได้ต่อสู้ตั้งเป็นประเด็นไว้ด้วยว่า เพื่อมิให้เสียหายและเดือดร้อนแก่จำเลยควรแบ่งกันอย่างไร โดยทดแทนเงินกันเพียงใด จึงจะสมควรตามนัย ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๖๔ จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้ได้อย่างไรอีก

Share