คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมอัยการฟ้องคดีอาญาหาว่าจำเลยกับพวกบุกรุกที่ดินมีโฉนดของโจทก์และทำให้เสียทรัพย์ และในการบุกรุกนี้จำเลยได้ปักหลักขึงลวดหนามในเขตที่ดินของโจทก์ด้วย ในการพิจารณาคดีนั้นปรากฎตามรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งจำเลยกับโจทก์ได้ลงชื่อไว้ ความว่า ศาลได้ไกล่เกลี่ย ให้โจทก์จำเลยปรองดองกัน จำเลยยอมรับว่าเขตที่ดินของจำเลยมีอยู่ตามโฉนดเดิม จำเลยยอมรื้อรั้วและหลักที่ปักเข้าไปในโฉนดของโจทก์ออก ต่อมาโจทก์จึงถอนคำร้องทุกข์ในข้อหาทำให้เสียทรัพย์และแถลงว่าจำเลยเข้าใจผิดในเขตในข้อหาบุกรุก ศาลจึงพิพากษายกฟ้องข้อหาบุกรุกนี้ด้วย ครั้นแล้วจำเลยก็ไม่รื้อหลักและรั้วนั้นออก โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีแพ่งขอให้บังคับให้จำเลยรื้อไป จำเลยกลับมาอ้างอีกว่า ที่ที่จำเลยปักเสาทำรั้วเข้าไปนั้นจำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองแล้ว และว่าในคดีอาญานั้นจำเลยไม่ได้แถลงสละสิทธิหรือกรรมสิทธิ์ ดังนี้ ย่อมฟังไม่ขึ้น เพราะข้อตกลงของโจทก์กับจำเลยในายงานพิจารณาในคดีอาญาดังกล่าวนั้นมีผลเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และข้อความแห่งความตกลงนั้นแสดงชัดว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยกับพวกมีอาวุธร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ ในการบุกรุกนี้จำเลยกับพวกได้ปักหลักขึงลวดหนามในเขตที่ของโจทก์ อัยการได้ฟ้องจำเลยฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ตามคดีอาญาแดงที่ ๑๖๑/๒๕๐๕ ในการพิจารณาคดีอาญานั้น จำเลยยอมรับว่าเขตที่ดินของจำเลยมีตามโฉนดเดิม รั้วปักล้ำเขตโฉนดของโจทก์จริง จำเลยยอมรื้อ ปรากฎตามรายงานพิจารณาของศาล โจทก์จึงถอนคำร้องทุกข์ฐานทำให้เสียทรัพย์และศาลยกฟ้องข้อหาฐานบุกรุกโดยเห็นว่าจำเลยยังไม่มีเจตนาทางอาญา ต่อมาจำเลยก็ไม่รื้อรั้วและหลักไม้นั้น ขอให้จำเลยรื้อหลักและรั้วกับใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่าไม่ได้บุกรุกที่ดินโจทก์ ที่ที่จำเลยปักเสาและทำรั้วเป็นที่ที่จำเลยเข้าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยเปิดเผยและสงบมาเกินกว่า ๑๐ ปี แม้จะเป็นที่ในโฉนดของใคร จำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์ในคดีอาญาที่โจทก์กล่าวนั้น ศาลได้ไกล่เกลี่ยให้ตกลงกัน จำเลยเข้าใจว่าเพื่อให้คดีอาญายุติจึงได้ยอมตามคำไกล่เกลี่ยโดยสำคัญผิด จำเลยไม่ได้แถลงสละกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองสิทธิหรือกรรมสิทธิ์ของจำเลยยังคงมีอยู่ เมื่อศาลพิพากษาคดีแล้วจำเลยจึงทราบว่าตามที่จ่าศาลไปรังวัดรายงานต่อศาลนั้นไม่เป็นไปตามความเข้าใจของจำเลย จำเลยจึงไม่ยอมถอนเสาและรั้ว ฯลฯ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ปรากฎตามสำนวนคดีอาญาแดงที่ ๑๖๑/๒๕๐๕ ว่า ศาลได้ไกล่เกลี่ยให้ผู้เสียหายกับจำเลยปรองดองกัน เมื่อจำเลยยอมรับว่าเขตที่ดินของผู้เสียหายและของจำเลยมีอยู่ตามเขตโฉนดเดิมและจำเลยยอมรื้อรั้วและหลักที่ปักเข้าไปในโฉนดของผู้เสียหายออก ศาลจึงให้จ่าศาลไปรังวัดและบันทึกให้ผู้เสียหายและจำเลยเซ็นชื่อรับรองไว้มารายงานศาล จ่าศาลไปรังวัดต่อหน้าจำเลยและผู้เสียหายทั้ง ๒ ฝ่ายได้ลงชื่อรับรองไว้ในบันทึกว่าถูกต้องแล้ว ต่อมาศาลยังได้เรียกมาพิจารณาต่อหน้าศาลอีกครั้งหนึ่ง จำเลยก็รับรองโดยที ไม่มีผู้ใดคัดค้านทักท้วง ผู้เสียหายจึงถอนคำร้องทุกข์ข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ส่วนฐานบุกรุกนั้นเมื่อผู้เสียหายแถลงว่าจำเลยเข้าใจผิดในเขต ศาลจึงยกฟ้องฐานนี้ เห็นว่าการพิจารณาคดีอาญาดังกล่าวตลอดจนการที่ศาลไกล่เกลี่ยให้ปรองดองกันนั้นได้กระทำในศาลโดยเปิดเผย ที่จ่าศาลไปรังวัดก็ทำต่อหน้าจำเลย ๆ ลงชื่อรับรองไว้ การตกลงนั้นจึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายและเป็นการที่จำเลยยอมรับว่าจากแนวเขตที่จ่าศาลรังวัดปักหลักไปจนถึงแนวเขตที่จำเลยปักหลักทำรั้วเข้าไปในโฉนดของผู้เสียหายนั้นเป็นที่ดินของผู้เสียหาย(โจทก์คดีนี้) เป็นอันว่าบรรดาสิทธิใด ๆ
ในที่พิพาทจะมีอยู่จำเลยก็ยอมสละไปในตัว จะมาเถียงว่าไม่ได้สละกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ของจำเลยยังมีอยู่หาได้ไม่ พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนเสาและรั้วลวดหนามและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่ารายงานกระบวนพิจารณาของศาลในคดีอาญา หาใช่สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ จะยกขึ้นบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามรายงานนั้นมิชอบ ทั้งคำแถลงของจำเลยก็ไม่ใช่การสละสิทธิหรือบรรดาสิทธิใด ๆ ในที่พิพาทเลยนั้น เห็นว่าข้อความในรายงานพิจารณานั้นแสดงชัดเจนว่าจำเลยกับผู้เสียหายตกลงกันดังที่ศาลไกล่เกลี่ยและจดไว้ในรายงานพิจารณานั้น จำเลยและผู้เสียหายได้ลงชื่อไว้ในรายงานพิจารณา ข้อความในรายงานพิจารณานั้นแสดงว่าจำเลยกับผู้เสียหายได้ทำความตกลงกันอันนี้ ลักษณะเป็นการระงับข้อพิพาท ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีผลเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ และข้อความนั้นแสดงชัดว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์
พิพากษายืน

Share