คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 93/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องคดีแพ่งเรียกเงินจาก ห. จำเลยศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ระหว่างนั้น ห.โอนทรัพย์ให้ ก. โจกท์จึงฟ้อง ห.กับก. เป็นคดีอาญา ว่าสมคบกันโกงเจ้าหนี้ ครั้นเมื่อคดีอาญานี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฎว่าคดีแพ่งนั้นถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษาว่าโจทก์กับห.จำเลยมิได้เป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่อกัน ดังนี้ ก็ไม่อาจมีการกระทำความผิดตามมาตรา 350 แห่งประมวลกฎหมายอาญาดังที่โจทก์อ้างมาได้ ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องคดีอาญาด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ เรียกเงินทดแทน ในระหว่างพิจารณาโจทก์ได้ขอและศาลได้สั่งห้ามจำเลยที่ ๑มิให้โอนที่ดินโฉนดที่ ๒๐๓๔ และสิ่งปลูกสร้างจนกว่าจะได้พิพากษา ต่อมาศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลยกฟ้องแล้วนั้น จำเลยที่ ๑ ได้ขอให้ศาลสั่งถอนคำสั่งห้าม ศาลอนุญาต จำเลยทั้งสองได้สมคบกันกระทำผิด คือ จำเลยที่ ๑ ได้โอนที่ดินดังกล่าวกับสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยทที่ ๒ ทั้งนี้ เพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนจากทรัพย์สินรายนี้ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๐,๘๓,๘๖
ศาลแขวงสงขลาไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ศาลได้พิพากษายกฟ้องแล้ว และได้ถอนการอายัดที่ดินของจำเลยที่ ๑ ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ อยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้โจทก์ ขาดองค์สำคัญในความผิดฐานฉ้อโกงเจ้าหนี้ การที่จำเลยขายที่ดินให้แก่กันจึงทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีมูลความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา แต่จำเลยที่ ๑ ถึงแก่กรรม โจทก์ขอให้พิจารณาคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒ คนเดียว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฎว่าหนี้ที่โจทก์อ้างเป็นมูลเหตุฟ้องจำเลยในคดีอาญาเรื่องนี้ ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นคดีแพ่งดังที่กล่าวในฟ้องนั้น บัดนี้ คดีได้ถึงที่สุดแล้วโดยศาลฎีกาได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ยืนตามศาลล่าง เมื่อมีคำพิพากษาว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๑ มิได้เป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่อกันแล้ว ก็ไม่อาจมีการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๕๐ แห่งประมวลกฎหมายอาญาได้ คดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ย่อมไม่มีมูลทางอาญาไปด้วยในตัว
พิพากษายืน

Share