คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2482

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย แต่ส่วนคำขอให้ใช้หรือคืนทรัพย์ราคา 150 บาทนั้นไม่รับบังคับให้ในชั้นนี้ โจทก์อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำขอให้คืนหรือใช้ทรัพย์ดังกล่าวแล้วมิได้ เพราะคำขอให้ใช้หรือคืนทรัพย์ในคดีนี้จัดว่าเป็นคดีแพ่งมโนสาเร่คำขอให้คืนหรือใช้ทรัพย์นั้น ม.40 แห่งประมวลวิธีพิจารณาอาญาบังคับให้นำประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา ม.๓๐๖,๒๒๕ จำคุกคนละ ๑ ปีส่วนคำขอให้คืนทรัพย์หรือใช้ราคาทรัพย์ ๑๕๐ บาทยังไม่มีข้อโต้เถียงจึงไม่รับบังคับให้ในชั้นนี้
โจทก์อุทธรณ์ในเรื่องคืนหรือใช้ทรัพย์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าข้อที่โจทก์อุทธรณืเป็นทางแพ่งโดยแท้ เมื่อคดีมีทุนทรัพย์ ๑๕๐ บาทจัดว่าเป็นคดีมโนสาเร่ ตาม ม.๒๒๔ ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริงจึงให้ยก
โจกท์ฎีกา
ศาลฎีกาตัดสินว่า ในฎีกาข้อ ๑ ที่ว่าศาลทำฝ่าฝืนประมวลวิธีพิจารณาอาญา ม.๑๘๖(๙) นั้น เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าพะยานหลักฐานในชั้นนี้ยังไม่พอจะวินิจฉัยในทางแพ่งจึงอาศัย ม.๔๑,๔๒ ประมวลวิธีพิจารณาอาญา พิพากษาฉะเพาะคดีอาญาไปก่อนได้ และการทำเช่นนี้เป็นดุลยพินิจของแต่ละศาลไป ในฎีกาข้อ ๒ ที่ว่าคำขอให้ใช้ทรัพย์แยกจากคำขอทางอาญาไม่ได้นั้นเห็นว่าคำขอให้คืนหรือใช้ทรัพย์ ม.๔๐ ประมวลวิธีพิจารณาอาญาบังคับให้นำประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์ยก ม.๑๘๙,๒๒๔ แห่งประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับจึงชอบแล้วพิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์เสีย

Share