คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1047/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินไปก่อนจำเลยให้การโจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า กรณีเดิมสามีและบุตรเขยจำเลยกู้เงินโจทก์ แล้วจำเลยทำสัญญารับใช้หนี้ให้ โจทก์แก้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแห่งมาตรา 179 (2) เพราะเป็นการอธิบายถึงสาเหตุที่จำเลยทำสัญญากู้ให้
เมื่อจำเลยให้การแก้ข้อหาในคำร้องเพิ่มเติมฟ้อง จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านไว้ จะอุทธรณ์ข้อนี้ไม่ได้
เมื่อโจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง ดังนั้นแล้ว แม้สัญญาที่นำมาฟ้องจะบอกชัดว่าเป็นสัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยและว่าได้รับเงินไปแล้วแต่วันทำสัญญา โจทก์ก็นำสืบได้ว่าไม่มีการรับเงินเนื่องจากกรณีเดิมสามีกับบุตรเขยโจทก์กู้ไป ไม่เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงเอกสาร
จำเลยลงลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญากู้ โดยมีพยาน 2 คน โจทก์ไม่จำต้องนำพยานเหล่านั้นมาสืบทุกคน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปแล้วไม่ใช้ให้ ขอให้ศาลบังคับ
ก่อนจำเลยให้การ โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า เงินกู้ตามสัญญาที่ฟ้องนี้ เดิมสามีจำเลยกับบุตรเขยจำเลยกู้เงินโจทก์ไป ต่อมาสามีจำเลยตาย จำเลยเป็นผู้รับมรดก ได้ยอมรับรองหนี้รายนั้น และให้ทำสัญญากู้ใหม่ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้กู้
จำเลยให้การและเพิ่มเติมคำให้การว่าจำเลยไม่เคยทำสัญญากู้เงินโจทก์ สามีและบุตรเขยจำเลยเคยเป็นหนี้โจทก์ไม่ถึงจำนวนตามที่ฟ้อง และจำเลยขายที่ดินให้โจทก์เป็นการหักหนี้แล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยฎีกาข้อกฎหมายว่า ๑. โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินและรับเงินไปแล้วแต่วันทำสัญญา แล้วมาขอแก้ไขฟ้องว่าจำเลยไม่ได้กู้ ไม่ได้รับเงินและนายดำสามีเป็นผู้กู้ เป็นการตรงข้ามและคนละเรื่องกับฟ้องเดิม ขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาแพ่ง มาตรา ๑๗๙
๒. ที่ศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งไว้จึงอุทธรณ์ไม่ได้นั้นไม่ถูก เพราะเมื่อจำเลยได้รับสำเนาคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องนั้น ศาลชั้นต้นได้สั่งอนุญาตไว้แล้วโดยไม่ได้สอบถามจำเลย
๓. สัญญากู้ท้ายฟ้องบอกชัดว่า เป็นสัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลย ไม่มีข้อความพออนุมานได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่หรือรับสภาพหนี้เดิม โจทก์จะนำสืบเปลี่ยนแปลงเอกสารว่าความจริงไม่มีการรับเงินกันตามสัญญาไม่ได้
๔. ตามสัญญากู้ที่โจทก์อ้างนั้น ปรากฎว่าจำเลยได้ลงลายพิมพ์นิ้วมือ กฎหมายบัญญัติว่าจะต้องมีพยานรับรองอย่างน้อย ๒ คน และพยาน ๒ คนนั้นจะต้องมาเบิกความยืนยันด้วย โจทก์อ้างพยานมาสืบปากเดียว ศาลไม่ควรรับฟัง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
๑. โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินไป แล้วยื่นคำร้องแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องก่อนจำเลยให้การ ว่ากรณีเดิมสามีและบุตรเขยจำเลยกู้เงินโจทก์ แล้วจำเลยยอมทำสัญญารับใช้หนี้ให้ ดังนี้ เป็นการอธิบายถึงสาเหตุที่จำเลยทำสัญญากู้ให้ โจทก์แก้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๙ (๒)
๒. เมื่อจำเลยให้แก้ข้อหาในคำร้องเพิ่มเติมฟ้อง จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านไว้ เพิ่งมาว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ จึงฟังไม่ขึ้น
๓. เมื่อโจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่ากรณีเดิมสามีและบุตรเขยจำเลยกู้ไป โจทก์ก็ยอมนำสืบตามนั้นได้ มิได้สืบเปลี่ยนแปลงเอกสาร
๔. สัญญากู้มีพยานเซ็นรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ ๒ คนครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว แต่โจทก์ไม่จำต้องนำมาสืบทุกคน
พิพากษายืน

Share