แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยเอาไปแล้วเถียงกรรมสิทธิ จึงขอให้ศาลแสดงว่าทรัพย์นั้นเป็นของโจทก์ให้จำเลยคืนแก่โจทก์ เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยซื้อทรัพย์พิพาทนั้นไปจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตแล้ว ศาลก็ไม่อาจจะบังคับเรียกคืนทรัพย์นั้นจากจำเลยได้เพราะโจทก์มิได้เสนอขดชดใช้ราคาตามหน้าที่ของตนตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1332 ศาลจึงต้องพิพากษายกฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  เรือโกลนไม้ตะเคียนทองพิพาท ๑ ลำ  เป็นกรรมสิทธิของโจทก์  จำเลยได้บังอาจชักลากเอาไปเสีย  และกลับเถียงกรรมสิทธิ  จึงขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่า  เป็นเรือของโจทก์และให้ชักลากไปไว้ที่เดิม  ฯลฯ
จำเลยให้การว่า จำเลยประมูลเรือพิพาทได้มาณะที่ที่ว่าการอำเภอ  จึงเป็นกรรมสิทธิของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า  เรือพิพาทเป็นของโจทก์  เจ้าพนักงานเข้าใจผิด  เอาไปขายทอดตลาด  แม้จำเลยจะซื้อไปก็ไม่ได้กรรมสิทธิ  พิพากษาว่าเรือพิพาทเป็นของโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ  ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเฉพาะแต่ในเรื่องกระทำละเมิด  และเรียกทรัพย์คืน  มิได้เสนอขอชดใช้ราคาตามหน้าที่ของตนตามมาตรา  ๑๓๓๒  ประเด็นจึงมีแต่ว่า  จำเลยซื้อทรัพย์พิพาทโดยสุจริตหรือไม่คือจำเลยได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิเรือพิพาทหรือไม่  ซึ่งตามรูปเรื่อง  จำเลยมิได้รู้ถึงกรรมสิทธิของโจทก์เลย  ทั้งผู้เข้าซื้อทอดตลาดก็ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องสอบสวนการกระทำของเจ้าพนักงานว่าถูกผิดกับกฎหมายบทนี้อย่างใด  ฉะนั้นแม้โจทก์จะมีกรรมสิทธิในเรือพิพาทจริง  ก็ไม่อาจจะบังคับเรียกคืนเรือโกลนนั้นจากจำเลย  ดั่งฟ้องได้
จึงพิพากษายืน

