คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 223/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งเป็น 2 เรื่อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์เรื่องแรกว่าศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้รับคำให้การของจำเลยเพื่อดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วคดียังมีประเด็นตามคำให้การซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาและพิพากษาต่อไป พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และวินิจฉัยอุทธรณ์เรื่องที่สองว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำให้การจำเลยแล้วดำเนินการต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาไปทั้งสองเรื่องนั้น คดีเสร็จสิ้นไปจากศาลอุทธรณ์แล้ว หาเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาอันจะต้องห้ามมิให้ฎีกาไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ก่อสร้างบ้านพัก ๒๐ หลังมีกำหนดเวลา ๒๑๐ วัน หากโจทก์ทำงานเสร็จแล้วไม่ได้รับเงิน จำเลยยอมให้ค่าเสียหายวันละ ๑,๐๐๐ บาท จำเลยผิดสัญญาและหักเงินค่าจ้างบางส่วนของโจทก์ไว้อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องทำงานล่วงเลยกำหนด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองมิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วยกคำร้องจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำแถลงโต้แย้งไว้
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การเป็น ๒ เรื่อง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์เรื่องแรกว่า ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาให้รับคำให้การของจำเลยเพื่อดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้ว คดียังมีประเด็นตามคำให้การของจำเลยและฟ้องแย้ง ซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาและพิพากษาต่อไป พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์เรื่องที่สองว่า จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำให้การจำเลยแล้วดำเนินการต่อไป
โจทก์ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ทั้ง ๒ เรื่อง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้จงใจจะขาดนัดยื่นคำให้การส่วนที่จำเลยแก้ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิจะฎีกา เพราะศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นรับคำให้การของจำเลยและดำเนินการต่อไป ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖ ประกอบมาตรา ๒๔๗ และคำสั่งศาลฎีกาที่ ๒๓๖๕-๒๓๖๗/๒๕๑๕ นั้น เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาไปทั้งสองเรื่องนั้น คดีเสร็จสิ้นไปจากศาลอุทธรณ์แล้ว หาเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาอันจะต้องห้ามมิให้ฎีกาอย่างที่จำเลยกล่างอ้างไม่ ทั้งคำสั่งของศาลฎีกาที่จำเลยยกมานั้นรูปคดีก็ไม่ตรงกับคดีนี้
พิพากษายืน.

Share