คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 103/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลบังคับจำเลยให้โอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา จำเลยสมคบกับพวกกระทำพยานหลักฐานเท็จโดยจำเลยทำสัญญากู้เงินผู้อื่นแล้วให้ผู้อื่นมาฟ้องเรียกเงินกู้ต่อศาล และจำเลยยอมความยอมใช้เงินตามสัญญากู้ ซึ่งความจริงจำเลยไม่ได้เป็นหนี้สินตามสัญญากู้นั้นเลย ดังนี้ เพียงเท่านี้โจทก์ยังไม่ได้รับความเสียหายอย่างใด ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานกระทำพยานหลักฐานเท็จตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 157 ได้./

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายแดงจำเลยสัญญาจะขายที่ดินแปลงหนึ่งแก่โจทก์ แล้วบิดพลิ้ว โจทก์จึงได้ฟ้องขอให้นายแดงจำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ คดีอยู่ระหว่างพิจารณา นายแดงนายจรุ กับพวกได้สมคบกันฉ้อโกงโจทก์ โดยแกล้งทำพยานหลักฐานเท็จว่านายแดงจำเลยทำสัญญากู้เงินนายจรุง แล้วนายจรุงนำสัญญามาฟ้องนายแดงจำเลย และได้ทำยอมกันต่อศาล ซึ่งศาลได้พิพากษาไปตามยอมแล้ว ทั้งนี้เพื่อจะยึดที่ดินพิพาทของนายแดงมาขายทอดตลาด เอาเงินมาชำระหนี้ตามยอมเป็นการป้องกันมิให้นายแดงจำเลยถูกบังคับโอนที่ดินให้โจทก์ ฯลฯ
จึงขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๑๕๗, ๓๐๗, ๖๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว รับฟ้องเฉพาะข้อหาตามมาตรา ๑๕๗.
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์,
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยเพียงเท่าที่กล่าว ยังไม่ได้นำมาอ้างในสำนวนที่โจทก์ฟ้องนายแดงจำเลย เรื่องขอให้บังคับโอนที่ดิน เห็นได้ชัดว่า โจทก์ยังไม่ได้รับความเสียหาย ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานนี้ได้ มิพักต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริง หรือเหตุอื่นอีก.
จึงให้ยกฎีกาโจทก์ โดยพิพากษายืน.
(ดุลยการณ์ – ประศาสน์ – ดุลยทัณฑ์)
ศาลจังหวัดปากพนัง – นายซุ่ม สุนทรชัย
ศาลอุทธรณ์ – หลวงสารนัยประศาสน์.

Share