คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1138/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อเจ้าของร่วมต่างพร้อมใจกันสละสิทธิเรื่องการครอบครองเป็นส่วนสัดซึ่งปกครองมาแต่เดิมเสีย โดยนำเจ้าพนักงานมาแต่เดิมเสีย โดยนำเจ้าพนักงานรังวัดแนวเขตระหว่างผันและให้ปักหลักเขตชื่นใหม่โดยเจตนาแบ่งที่ดินกันตามนั้น แล้วต่างได้ลงชื่อรับรองว่าหลักเขตที่เจ้าพนักงานปักไว้นั้นเป็นหมายเขตที่ดินส่วนของตน ใบรับรองเขตติดต่อของเจ้าของที่ดินดังกล่าวนี้เป็นหลักฐานซึ่งเจ้าของรวมได้ทำไว้เป็นหนังสือยืนยันขอสัญญารวมได้ทำไว้เป็นหนังสือยืนยันข้อสัญญาในการแบ่งแยกที่ดิน พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมตกลงแบ่งทรัพย์กันเองตาม ป.พ.พ.ม. 1364 จะกลับมาฟ้องขอให้แบ่งตามส่วนที่ได้ปกครองมาแต่เดิมไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิที่นาโฉนดเลขที่ ๒๕๓ ตำบลสี่รอบ จังหวัดอ่างทอง เนื้อที่ ๒๑ ไร่ ๑ งาน ๙๒ วา ส่วนของโจทก์อยู่ทางแถบเหนือเนื้อที่ประมาณ ๙ ไร่ ๒ งาน ๒๒ วา ส่วนของจำเลยอยู่ทางใต้เนื้อที่ประมาณ ๑๑ ไร่ ๓ งาน ๗๐ วามีคันนาและหลักไม้เป็นเขตระหว่างกันต่างปกครองเป็นส่วนสัดและโจทก์ได้ปกครองส่วนของโจทก์ดังกล่าวมา๑๔ ปีแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยได้ยื่นคำร้องขอแบ่งแยกโฉนดตามส่วนสัดของตน เวลาทำการรังวัดจำเลยกลับชี้เขตที่ดินรุกร้ำที่ดินของโจทก์ จึงขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๙ ไร่ ๒ งาน ๒๒ วาทางแถบเหนือเป็นของโจทก์โดยถือคันเขตเดิม ฯลฯ
จำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้ตกลงแบ่งแยกตามเขตครอบครอง แต่ตกลงแบ่งแยกให้จำเลยทางด้านทิศใต้ตามที่จะได้นำชี้ในวันรังวัด เมื่อเจ้าพนักงานไปรังวัดปรากฎว่าเนื้อที่ขาดไป ๒ งาน ซึ่งจำเลยยอมให้ขาดในส่วนของจำเลย โจทก์จึงนำรังวัด เจ้าพนักงานได้ทำการรังวัดแบ่งแยกให้เสร็จ และโจทก์จำเลยได้ลงลายมือชื่อในใบรับรองเขตที่ดินนั้นแล้ว
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยได้ตกลงแบ่งแยกที่ดินตามหมาย จ.ล. ๑ แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิร่วมกัน ผู้มีกรรมสิทธิร่วมย่อมตกลงแบ่งกันอย่างไรก็ได้และไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ เมื่อตกลงกันแล้วฝ่ายใดจะเพิกถอนไม่ได้ แต่จำเลยมิได้ฟ้องแย้งขอบังคับตามข้อตกลง พิพากษายกฟ้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องในข้อเท็จจริงว่าโจทก์จำเลยตกลงรังวัดแบ่งแยกที่ดินกันตามแผนที่ระวาง หาใช่รังวัดตามแนวเขตคันนาที่ครอบครองไม่รูปคดีเข้าในข้อที่ว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกันเพื่อระงับข้อพิพาทอันจะมีมาในภายหน้า โจทก์จำเลยได้ลงชื่อรับรองเขตตามที่เจ้าพนักงานรังวัดนับเป็นหลักฐานตาม ก.ม. แล้วโจทก์จะกลับมาให้ถือเอาคันนาเป็นเขตแบ่งแยกขึ้นใหม่ไม่ได้ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องและเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์มาตั้งแต่ตลอดมา เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ป.วิ.แพ่ง ม. ๒๔๘ ฎีกาของโจทก์จึงเหลืออยู่ข้อเดียวคือ ข้อ ๓ ซึ่งคัดค้านว่าข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยนั้น ไม่มีผลบังคับได้ตาม ก.ม.เพราะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือและไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อเท็จจริงเห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องทั้งสองฝ่ายพร้อมใจตกลงกันแบ่งแยกที่ดินอันอยู่รวมในโฉนดเดียวออกต่างหากจากกัน โดยจะนำชี้เขตให้เจ้าพนักงานรังวัดแบ่งแยกให้เท่านั้น กรณีจึงเป็นเรื่องเจ้าของกรรมสิทธิรวมตกลงแบ่งทรัพย์สินกันเองโดยตรง และ ในระหว่างเจ้าของกรรมสิทธิรวมด้วยกันเอง อาจอ้างการครอบครองเป็นส่วนสัดตาม ก.ม. ว่าด้วยเรื่องครอบครองต่อกันได้ก็จริงอยู่ซึ่งเป็นเรื่องเกิดจากความยินยอมของเจ้าของกรรมสิทธิรวมทุกฝ่ายพร้อมใจกันให้เป็นเช่นนี้ แต่การครอบครองเป็นส่วนสัดดังว่านี้มิได้เป็นผลถึงกับจะกระทำให้ที่ดินกลายเป็นอีกแปลงหนึ่งต่างหากจากที่ดินแปลงใหญ่ในโฉนดเดิมนั้นไปประการใดตราบใดที่ยังมิได้มีการแบ่งแยกโฉนดออกจากกัน ก็ยังต้องถือว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวโฉนดเดียวกันอยู่ เมื่อโจทก์จำเลยต่างพร้อมใจกันสละสิทธิเรื่องการครอบครองเป็นส่วนสัดนั้นเสียแล้ว โดยนำเจ้าพนักงานรังวัดเขตระหว่างกันแล้วต่างลงชื่อรับรองว่าหลักเขตที่เจ้าพนักงานปักไว้นั้นเป็นหมายเขตระหว่างกันแล้วต่างลงชื่อรับรองว่าหลักเขตที่เจ้าพนักงานปักไว้นั้นเป็นหมายเขตที่ดินส่วนของตน ใบรับรองเขตดังกล่าวนี้เป็นหลักฐานซึ่งโจทก์จำเลยเจ้าของกรรมสิทธิรวมได้ทำไว้เป็นหนังสือลงชื่อทั้งสองฝ่ายยืนยันข้อสัญญาในการแบ่งแยกที่ดินเพิ่อเจ้าพนักงานจะได้แบ่งแยกโฉนดให้ตนตามนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องเจ้าของกรรมสิทธิรวมตกลงแบ่งทรัพย์กันเองตาม ป.พ.พ.ม. ๑๓๖๔
พิพากษายืน

Share