คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 87/2479

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนไปทำสัญญาแทนห้างหุ้นส่วน ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนรวมกันเป็นโจทก์ฟ้องคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้

เดิมผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวในห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยศาลยกฟ้อง ต่อมาผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนได้เข้าเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในมูลหนี้รายเดียวกันกับเรื่องเดิมได้เพราะเป็นเรื่องคนละประเด็น
คดีที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งต้องใช้พ.ร.บ.วิธีพิจารณาแพ่งร.ศ.127 ซึ่งเป็นกฎหมายซึ่งใช้อยู่ในเวลานั้นในการวินิจฉัยว่าฟ้องต้องห้ามหรือไม่

ย่อยาว

ได้ความว่าโจทก์เหล่านี้เป็นหุ้นส่วนกันจำเลยจ้างให้ห้างหุ้นส่วนของโจทก์ไถนาในการทำสัญญานี้ ฮ.ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนของพวกโจทก์เป็นผู้ลงนามในสัญญาแทนโจทก์ ปรากฎว่าจำเลยยังมิได้ชำระเงินค่าจ้างให้โจทก์อีก ๑๓๑๗ บาท ๒๗ สตางค์ก่อนคดีนี้นายยับฮุนฮกผู้เดียวได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยนี้ แต่ศาลได้ยกฟ้องเสีย บัดนี้หุ้นส่วนทุกคนร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ชำระเงินที่ค้างอยู่
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยฎีกาว่า ๑.โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีตามมาตรา ๑๐๔๙ แห่งประมวลแพ่ง(๒) คดีนี้คำพิพากษาถึงที่สุดแล้วตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.๑๔๘
ศาลฎีกาเห็นว่า ม.๑๐๔๙ ใช้บังคับแก่คดีนี้ไม่ได้ เพราะผู้ถือหุ้นทั้งหมดร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องในฐานเป็นตัวการตามม.๘๐๖จึงฟ้องได้ การที่ผุ้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญไปลงนามในสัญญาในฐานเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนแล้วผู้ถือหุ้นทั้งหมดย่อมเป็นโจทก์ได้แม้ห้างจะมิได้จดทะเบียนก็ดี ส่วนฎีกาข้อ ๒ นั้น เห็นว่าคดีนี้+ก่อนใช้ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงต้องวินิจฉัยตามพ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง ร.ศ.๑๒๗ ม.๓ ซึ่งข้อบัญญัติก็คล้ายกัน แต่บทบัญญัติในมาตรา ๓ นั้นจะนำมาบังคับไม่ได้ เพราะคดีก่อนที่ศาลพิพากษาเด็ดขาดไปแล้วนั้น ประเด็นมีว่า โจทก์ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวฟ้องคดีที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนได้หรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่าฟ้องไม่ได้ผู้ถือหุ้นจึงร่วมกันฟ้องคดีนี้ขึ้นใหม่ ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเรื่องคนละประเด็น จึงพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสอง

Share