แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามความใน พ.ร.บ.จัดวางระเบียบราชการกรมตำรวจในกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2491 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้กำหนดตั้งหน่วยงานและเขตต์อำนาจการรับผิดชอบหรือเขตต์พื้นที่ปกครองของหน่วยราชการโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษากอบบัญชาการสอบสวนกลางกองตำรวจสันติบาลจะมีอำนาจสอบสวนได้เพียงใดหรือไม่นั้น ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดหรือข้อบังคับ ข้อกำหนดหรือข้อบังคับนั้น ๆ เป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่ข้อกฎหมาย โจทก์ต้องนำสืบ
เมื่อ ร.ต.ท.ประชานายตำรวจสันติบาสเพียงแต่อ้างว่ามีอำนาจสอบสวน เพราะได้รับคำสั่งจากผู้กำกับการฯแล้ว แต่โจทก์มิได้สืบให้เห็นว่าผู้กำกับการมีอำนาจสั่งได้โดยชอบด้วยกฎหมายอย่างใด ดังนี้จึงฟังไม่ได้ว่า ร.ต.ท. ประชามีอำนาจสอบสวน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งดำรงตำแหน่ง เทศมนตรี เทศบาลตำบลหลังสวน จำเลยที่ ๒ ซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดเทศบาลตำบลหลังสวนเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่บริหารราชการส่วนท้องถิ่นตามกฎหมาย ได้ทุจริตยักยอกเงินประเภทต่าง ๆ ของกิจการเทศพาณิชย์การค้าสุกรอันอยู่ในความครอบครองควบคุมดูแลรักษาและรับผิดชอบร่วมกันตามหน้าที่ราชการไปรวมทั้งสิ้น ๑๗๙,๑๗๐ บาท ๖๗ สตางค์ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๓๑,๓๑๔,๖๓ พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๓ พ.ร.บ.อนุมัติ พ.ร.บ.กำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๓
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่ามิได้กระทำผิดตามฟ้องและตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฟ้องเคลือบคลุม
จำเลยที่ ๒ ปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยทั้งสองเป็นพนักงานเทศบาลได้สมคบกันยักยอกเงินผลประโยชน์ต่าง ๆ ของเทศบาลไปดังฟ้องเป็นความผิดกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๑๓๑ พ.ร.บ.กำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๓ พ.ร.บ.อนุมัติ พ.ร.กำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๓ แต่พิพากษายกฟ้องโดยถือว่ายังมิได้มีการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐
โจทก์อุทธรณ์
จำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์และอ้างว่า เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาให้ยกฟ้องแล้ว การที่ศาลชั้นต้นได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องนั้น ไม่ชอบด้วยทางพิจารณา ขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่ชี้ขาดว่าจำเลยได้กระทำผิดนี้เสีย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้ยังมิได้มีการสอบสวนตาม ป.วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และเห็นว่าดจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีและศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์แล้ว ข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์ ตามกฎหมายเป็นอันไม่มีผลต่อไป ไม่จำเป็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้องพิพากษา ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อนี้ นอกนี้ยืน
โจทก์ฎีกาว่า ร.ต.ท. ประชา นายตำรวจสันติบาล สังกัดกองบัญชาการ กองสอบสวนกลางมีอำนาจทำการสอบสวนคดีนี้ดดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องสืบข้อเท็จจริงอย่างอื่นอีก
ศาลฎีกาเห็นว่าอำนาจหน้าที่ของตำรวจเกี่ยวกับการสอบสวนนั้น ต้องเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับทั้งหลายว่าด้วยอำจและหน้าที่ของตำรวจตามความในใบมาตรา ๑๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและ พ.ร.บ.จัดวางระเบียบราชการกรมตำรวจในกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๔๙๑ มาตรา ๔ จัดกองตำรวจสันติบาลไว้ในราชการบริหารส่วนกลาง และตามาตรา ๕ ว่าให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้กำหนดหน่วยงานและเขตต์อำนาจการรับผิดชอบหรือเขตต์พื้นที่การปกครองของหน่วยราชการตามความในมาตรา ๔ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษากอบบัญชาการสอบสวนกลางกองตำรวจสันติบาลจะมีอำนาจสอบสวนได้เพียงไรหรือไม่นั้นต้องเป็นไปตามข้อกำหนดหรือข้อบังคับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ข้อกำหนดหรือข้อบังคับนี้เป็นข้อเท็จจริงซึงโจทก์มีหน้าที่จะต้องนำสืบ หาใช่เป็นข้อกฏหมายที่ศาลจะต้องรู้เองไม่
คดีนี้จำเลยที่ ๑ คัดค้านว่าการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์ย่อมมีหน้าที่ต้องแสดงว่า ร.ต.ท.ประชา ตำรวจสันติบาลมีอำนาจสอบสวนในคดีนี้โดยชอบแล้ว เพียงแต่โจทก์อ้างว่าผู้กำกับการกอง ๓ กองสอบสวนกลางได้สั่งแล้ว และโจทก์มิได้สืบอ้างหลักฐานอย่างใดให้เห็นว่าผู้กำกับการฯมีอำนาจสั่งได้โดยชอบด้วยกฎหมาย จึงฟังไม่ได้ว่า ร.ต.ท.ประชามีอำนาจสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญา
จึงพิพากษายืน